2552/07/25

สีสันกับสุขภาพจิต

เรื่องของสีเป็นสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เราตลอดชีวิต ทุกสิ่งรอบตัวล้วนมีสี สีคือสเปกตรัมของแสงอาทิตย์ ประกอบด้วยสีหลัก สี ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ที่เราท่องกันมาตั้งแต่เด็กๆ พลังของแสงอาทิตย์ยังสามารถซึมแทรกผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายเรา ที่เรียกว่าพลังออร่า (Aura) สีของแสงไม่เพียงมีผลต่อสุขภาพร่างกายเราเท่านั้น แต่มันมีผลต่อสุขภาพจิตของเราด้วย


สีมีผลต่อร่างกาย จิตใจ รวมทั้งอารมณ์ด้วย เราชอบสีอะไรเราก็มักจะใส่เสื้อผ้าสีนั้น หรือเลือกสีห้อง สีในบ้าน สีข้าวของเครื่องใช้ก็เช่นกัน สีมีผลต่อสุขภาพจิตแน่ๆ ดังนั้นจึงมีการเลือกใช้สีสันสำหรับบรรจุภัณฑ์สินค้าเพื่อดึงดูให้คน ซื้อหา อืทธิพลของสีจึงมีความสัมพันธ์กับชีวิตคนเราตลอดเวลา


อิทธิพลของสีสันต่อร่างกายเรา

เมื่อแสงของสีผ่านเข้าไปในร่างกาย มันจะส่งผลกระทบกับต่อมไร้ท่อสำคัญๆ เช่น ต่อม Pituitary ต่อมใต้สมองที่ขับฮอร์โมนที่มีผลต่อการทำงานหลายหน้าที่ในร่างกายคนเรา ควบคุมการทำงานของระบบต่อมไร้ท่ออื่นๆ ให้มีการสร้างฮอร์โมน เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมหมวกไต ฮอร์โมนช่วยในการเจริญเติบโต (Growth homone) และการทำหน้าที่ของระบบสืบพันธุ์ อัณฑะ รังไข่ รวมถึงควบคุมระดับพลังงาน (energy levels) การเผาผลาญ (metabolism) ความอยากอาหาร แรงขับทางเพศ (sex drive) การเจริญเติบโต และการนอนหลับ เช่นสีแดง จะกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วแรงขึ้น ตลอดจนกระตุ้นการหลั่ง Adrenaline ซึ่งทำให้คนเราอยากอาหาร และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น แต่ถ้าคุณอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีแต่สีแดงนานๆ คุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยหรือเครียดได้เหมือนกันสีเหลือง จะกระตุ้นคลื่นสมอง และทำให้จิตใจตื่นตัว กระฉับกระเฉง มองโลกในแง่ดีสีฟ้า
อิทธิพลของสีฟ้าจะทำให้คนเรารู้สึกสงบ เยือกเย็น รู้สึกผ่อนคลาย
ดังนั้นสีต่างๆ จึงมีความสำคัญต่อการสร้างความสมดุลระหว่างจิตใจ ร่างกาย และอารมณ์ของคนเรา เมื่อมี
สีฟ้าเป็นสีเย็น และสีแดงเป็นสีร้อ
การใช้ทั้งสองสีนี้ก็จะให้ความรู้สึกสมดุลขึ้น การที่คนเราจะเลือกใช้สีห้อง สีบ้าน หรือสีเสื้อผ้าอย่างไร จึงสะท้อนให้รู้ว่าเรานั้นเป็นคนอย่างไร มีความรู้สึกและอารมณ์ใน่วงขณะนั้นอย่างไรด้วย

Key words
ของสี
ถ้าคุณช่างสังเกตสักหน่อย จะเห็นว่า สีแต่ละสีนั้นถูกนำมาใช้ในกาลเทศะตามความเหมาะสมต่างกัน เพราะโทนสีต่างๆ ให้ความรู้สึกหลากหลาย ซึ่งอาจตีความได้มากมาย



สีม่วง ดูเป็นสีผู้ดีแบบชนชั้นสูง สง่างาม หรูหรา มีความวิจิตร บรรจง แสดงถึงสัญชาติญาณ ชวนฝัน ให้ความรู้สึกลับถึงจิตวิญญาณ แต่ในบ้านคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เลือกใช้สีม่วงเป็นสีพื้นฐาน แต่กระนั้นมันก็ยังคงมีความสัมพันธ์กับจิตใจ เช่น หากว่าคุณต้องการสมาธิลึกล้ำ คุณอาจต้องการห้องที่บรรยากาศนิ่งขรึมหน่อย สีม่วงนี่แหละเหมาะที่สุด มันเป็นสีที่หนัก ดังนั้นควรใช้แต่น้อย เพราะถ้าใช้สีม่วงกับห้องทั้งห้อง แทนที่จะดูสง่างามมีมนต์ขลังกลับจะให้ความรู้สึกกดดันมากเกินไป

สีชมพู เป็นเฉดสีแดง แต่มีสีขาวผสมเล็กน้อย น่าทะนุถนอม สงบเยือกเย็น ให้ความรู้สึกถึงความเป็นแม่ แต่เป็นสีที่ใช้พลังและอบอุ่นใจ มีการทดสอบกับนักโทษในราชนาวีของสหรัฐอเมริกา ในซีแอตเติล เมื่อปี ๑๙๗๘ พบว่าคนเหล่านั้นจะมีอารมณ์สงบลงหลังจากถูกกักตัวให้อยู่ในห้องสีชมพูนาน ๑๕ นาที และอารมณ์สงบนี้ยังอยู่ต่อเนื่องอีก ๓๐ นาทีหลังจากถูกปล่อยตัวออกจากห้อง เนื่องจากสีชมพูจะทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งออกมา ซึ่งจะทำให้การเต้นของกล้ามเนื้อหัวใจช้าลง ความเครียดและความก้าวร้าวก็น้อยลงไปด้วย สีชมพูจะช่วยประสานความรู้สึกให้อ่อนโยนลง บำรุงความรัก เป็นสีที่โรแมนติก ดังนั้นจะเห็นว่าคนที่กำลังมีความรักมักจะถูกล้อว่า หัวใจรักสีชมพู สีนี้จึงมีสรรพคุณเข้าท่าน่าลองใช้เป็นสีห้องนอนของคนที่หย่าร้างกัน

สีแดง เป็นสีที่อบอุ่น โรแมนติก ชวนหลงไหล และกระตุ้นความรู้สึกได้ดี ทำให้กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เต็มไปด้วยชีวิตชีวา รุ่มร้อน สีแดงยังแสดงถึงความมั่นคั่งสมบูรณ์ในความเชื่อของคนจีน เมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมสีแดงความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น ทำให้การเต้นของหัวใจเร็วขึ้น หายใจถี่ขึ้น สมองก็แอ็คทีฟขึ้นด้วย เป็นการกระตุ้นกลไกการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย สีแดงนี้เองที่ทำให้คนเรา เร่าร้อน ปั่นป่วนหัวใจ สีแดงเป็นสีของธรรมชาติ เป็นสีของไฟและเลือด เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ และพลังชีวิต สีแดงจึงเป็นสีแห่งอารมณ์สีหนึ่งเลยทีเดียว เพราะช่วยเพิ่มการหลั่งของอะดรีนาลีน เป็นสีที่ทำให้คนพลุ่งพล่านได้ง่ายๆ น่าระวังถ้าคุณใช้สีแดงกับบ้านของคุณ และตราบใดที่คุณอยู่ในห้องสีแดงคุณอาจรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน หากใช้สีแดงในการบำบัดด้วยสี (colour therapy) พลังของสีแดงจะช่วยให้กล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ แข็งแกร่งขึ้น และยังช่วยเสริมให้คนที่เฉื่อยชามีความรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นด้วย สีแดง สีส้ม และสีเหลืองมักจะทำให้คนฉุนเฉียวได้ง่ายกว่า สีฟ้า เขียว และม่วง

สีฟ้า เป็นสีเย็น ตรงกันข้ามกับสีแดง สีฟ้าสามารถทำให้ร่างกายคนเราปล่อยฮอร์โมนที่ทำให้อารมณ์สงบลงได้ สีฟ้าช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายยามที่เรารู้สึกเครียด แต่ถ้าเราใช้มันมากมันจะทำให้เรากลายเป็นคนเฉื่อยไปแทน ถ้านั่งอยู่ในห้องสีฟ้า คุณอาจจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว เพราะเรารู้สึกผ่อนคลายมาก ห้องสีฟ้าเป็นสีที่ได้รับการยอมรับว่าจะช่วยให้การนอนหลับได้ลึกดีที่สุด ผลการวิจจับพบว่า การใช้ยาหลอก (Placebo toplets) เม็ดสีฟ้าโดยหลอกว่าเป็นยานอนหลับนั้นได้ผลดีเยี่ยมมากกว่ายาเม็ดสีชมพู ซึ่งยังว่ากันว่าห้อง สีฟ้าเหมาะจะใช้เป็นสีของห้องนอน โดยเฉพาะห้องของคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับ เพราะให้ความรู้สึกสงบและ เยือกเย็น สีฟ้าเป็นสีของน้ำ เป็นสีที่สงบ แต่มีความเคลื่อนไหว และดูฉลาด ให้ความรู้สึกถึงเสรีภาพและการปลดปล่อย แต่ตรงกันข้ามสีฟ้าจะมีผลต่อเด็กเล็กๆ ไม่น้อยเลย เพราะเป็นสีที่สว่างเจิดจ้า เด็กทารกจะชอบมองสีที่สว่างๆ ได้นานๆ จึงไม่เหมาะที่จะใช้กับห้องนอนเด็กเล็ก

สีน้ำเงิน เป็นสีโทนเย็น ให้ความรู้สึกถึงความยึดมั่น จริงจัง สงบนิ่ง มีพลัง และมีเสน่ห์ สุภาพ สูงศักดิ์ เป็นสีที่ให้ความรู้สึกลึกล้ำ น่าค้นหา เช่น สีของท้องมหาสมุทร ท้องฟ้ายามเย็น เป็นสีอมตะที่อยู่เหนือกาลเวลา เพราะสีน้ำเงินเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสีฟ้า เจ้าแห่งความสงบ ผสานด้วยความอบอุ่นของสีแดง สีนี้เหมาะกับการใช้กับเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และสีของสิ่งของชิ้นเล็กๆ แต่ถ้าอยู่ในบรรยากาศห้องที่เป็นสีน้ำเงินกลับจะทำให้รู้สึกอึดอัด แน่น เหมือนถูกกดบีบ ทำให้ที่กว้างดูแคบลงถนัดตา ดังนั้นสีนี้ไม่เหมาะที่จะเลือกใช้กับที่อยู่อาศัย

สีเขียว เป็นสีของธรรมชาติและเป็นสีแห่งความสมดุลเพราะเป็นสีที่อยู่ระหว่างกลางของสีนรุ้ง มันสามารถสร้างความกลมกลืน มั่นคงและเยียวยาได้ เป็นสีที่สว่างและชัดเจน เป็นสีของคนที่เข้าใจอะไรง่าย ไม่เห็นแก่ตัว และเป็นคนที่มีความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นสีที่ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด หากใช้กับสีห้องจะช่วยใช้เชื่อมต่อกับธรรมชาติ เขียวขจีภายนอกได้ดีที่สุด มันเป็นที่มาของสตูดิโอหรือโรงละครที่จะต้องมี “ห้องสีเขียว” เพื่อให้ศิลปินได้เข้าไป ผ่อนคลายรวบรวมสมาธิก่อนการแสดง เพราะสีเขียวมีส่วนช่วยในการระงับความรู้สึกตื่นเต้น หรือ nervous ได้ดี นอกจากนี้พืชผักสีเขียวที่เรากินก็ยังให้คุณค่าโภชนาการมหาศาล ทั้งสารอาหาร กากใยสูง ช่วยขจัดพิษต่างๆ ในร่างกายได้ และทำให้สุขภาพคงกระพัน สีเขียวยังมีความสำคัญทางการแพทย์ โดยช่วยคืนความสมดุลของจิตใจในผู้ป่วยโรคจิตด้วย สภาพแวดล้อมสีเขียว จะช่วยให้หายเหนื่อย บรรเทาอาการช็อค บำรุงขวัญกำลังใจให้ดีขึ้นอีกด้วย คุณจึงสามารถใช้สีเขียวกับทุกๆ ห้องภายในบ้าน เพราะเป็นสีแห่งความสมดุลเป็นที่สุด

สีส้ม
เป็นสีแห่งความกระตือรือร้น และมองโลกในแง่ดี เป็นสีแห่งความวสนุกสนานจิตใจอบอุ่น และเป็นคน ใจกว้าง เป็นสีของคนที่มีชีวิตและจิตวิญญาณสนุกสนานเป็นเนืองนิตย์ แต่สีส้มก็เป็นสีที่ช่วยเบรกการกระตุ้นพลังงาน เป็นสีที่ทำให้คนรู้สึกฮึกเหิมต่อสู้กับความยากลำบากได้ดี สีส้มสามารถใช้ได้โดดๆ เป็นสีของห้องอาหาร เพราะให้ความรู้สึกถึงการสังสรรค์ ทั้งช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดีด้วย
สีต่างๆ มีอิทธิพลต่อคนเราแตกต่างกันไป แต่มีเพียงสีฟ้าและสีแดงที่มีผลต่อต่อความรู้สึกชัดเจนมากที่สุด ซึ่งสีส้มจะเป็นตัวเสริมให้เกิดความชื่นบาน และเร่งเร้าให้คนกระตือรือร้นในการทำงาน จึงเหมาะกับการเลือกเป็นสีบริเวณทางเข้าของสำนักงานด้วยยิ่งนัก


สีเหลือง เป็นสีที่แสดงถึงความฉลาด ความสว่างไสว และความสำเร็จ หากคุณต้องการกระตุ้นให้สมองของคุณอย่างมีประสิทธิภาพทั้งการเขียนและการพูด ลองสวมใส่เสื้อผ้าสีเหลือง ใช้ห้องเรียนสีเหลือง หรือตกแต่งบ้านด้วยดอกไม้สีเหลืองก็น่าจะดี เป็นสีที่แสดงให้เห็นถึงการมีจุดหมายที่ชัดเจน และไอเดียใหม่ๆ สีเหลืองเป็นสีที่ใกล้เคียงกับแสงอาทิตย์ที่สุด ถ่ายทอดถึงความหวัง ความสนุกสนานเริงร่า และความเบิกบาน เป็นสีที่มีความเหมาะสมในการผสมผสานเข้ากับสีอื่นๆ หรือจะเลือกใช้สีตรงข้ามก็เยี่ยม ในการบำบัดทางจิตด้วยสี (colour therapy) สีเหลืองจะมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างสมดุลแห่งจิตใจ ช่วยทำให้เกิดการตัดสินใจได้เร็วขึ้น และลดความลังเลลง สีเหลืองมักจะทำให้คนรู้สึกดี หากใช้เวลา ๙๐% อยู่ภายในห้องสีเหลืองมันจะช่วยเสริมให้มีความมั่นใจในตัวเองสูงขึ้น และลดความรู้สึกผิดหวังลงได้บ้าง สีเหลืองจึงเป็นสีที่ช่วยกำจัดมลพิษของจิตใจด้วยการทำให้คนลดความคิดเชิงลบกับสิ่งต่างๆ ลงได้

สีน้ำตาล เป็นสีตัวแทนของพื้นโลก เป็นสีที่ทำให้คนรู้สึกว่าได้รับการปกป้อง และติดดิน เป็นสีเชื่อมต่อให้คนรู้สึกถึงแผ่นดินแต่การที่จะเลือกใช้ห้องเป็นสีน้ำตาลจะทำให้รู้สึกหนักเกินไป และกดดันได้ แม้จะให้รู้สึกปลอดภัยก็ตามที

สีขาว คือสีของแสงที่ผสานทุกสีของแสงเข้าไว้ด้วยกันจนไม่มีสี มันคือสีของแสงธรรมชาติ เป็นสีแห่งความบริสุทธิ์ และมีวัฒนธรรม ใสซื่อ สะอาด เปิดเผย มีความงดงามน่าหลงใหล สีที่หมายถึงการปกป้องคุ้มครอง คุณไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมหนอ พยาบาลจึงใส่ชุดสีขาว กระทั่งบาทหลวงในศาสนาคริสต์ก็เช่นกัน

สีดำ เป็นสีที่นิ่ง มืด ทึบตัน และหนักแน่น มีพลังในตัวมันเอง สัมพันธ์กับความหมายของความตายและการปฏิเสธ มีความลึกลับและความใฝ่รู้ สีดำชวนให้น่าเกรงขาม หากใช้กับห้องจะให้ความรู้สึก ถึงความหมดหวังและความกดดัน สีนี้จึงเหมาะกับการเลือกใช้ในการสร้างสรรค์บรรยากาศ แต่สีดำก็มีบทบาทในการส่งเสริมให้สีอื่นๆ เด่นขึ้นเสมอ ขณะเดียวกันอิทธิพลของสีดำยังสามารถเบรคความแรงของสีที่เจิดจ้าลงได้อีกด้วย หากว่าเลือกใช้อย่างเหมาะสม สีดำจะเป็นสีมีเสน่ห์มากสีหนึ่ง

2552/07/23

วิธีทำ เจลล้างมือ ใช้เอง


การล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค เป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยใช้สบู่เหลวหรือสบู่ก้อนกับน้ำก็สามารถล้างได้อย่างหมดจด สำหรับกรณีที่ไม่สะดวกใช้น้ำ เช่น เดินทาง หรือไปในที่ที่ไม่สะดวกล้างมือด้วยน้ำ ก็สามารถใช้เจลล้างมือชนิดไม่ใช้น้ำเป็นทางเลือกเสริมได้
เพื่อเป็นการประหยัดก็สามารถทำเองได้ง่ายๆ โดย เตรียมอุปกรณ์ สารเคมี ดังนี้ อุปกรณ์ ถัง หม้อสแตนเลส หรือพลาสติก ขนาดบรรจุ 1.5 ลิตร ไม้พาย ถ้วยตวงขนาดบรรจุ 1 ลิตร (1,000 มล.) สารเคมี เอธิลแอลกอฮอล์ ปริมาณ 740 มล. กลีเซอรีน 10 มล. น้ำ 245 มล. น้ำหอม 5 มล.

วิธีการผสม เตรียมสารละลายน้ำหอม
1. ตวงเอธิลแอลกอฮอล์ ปริมาณ 40 มล. โดยใช้ถ้วยตวงที่เตรียมไว้
2. เติมน้ำหอม ปริมาณ 5 มล. ลงไป
3. เติมกลีเซอรีน ปริมาณ 10 มล. ลงไป
4. กวนด้วยพายจนสารผสมเข้ากันดี ได้สารละลายใส

การผสมผลิตภัณฑ์นำเอธิลแอลกอฮอล์ที่เหลือ ปริมาณ 700 มล. ใส่ในถัง หม้อสแตนเลส หรือพลาสติก ขนาดบรรจุ 1.5 ลิตร เติมสารละลายน้ำหอมที่เตรียมไว้ลงไป กวนด้วยพายจนสารผสมเข้ากันดี จากนั้นเติมน้ำ ปริมาณ 245 มล. ลงไป กวนด้วยพายจนสารผสมเข้ากันได้ วิธีการง่ายๆ เท่านี้ ก็จะได้เจลล้างมือไปใช้เองในราคาที่ประหยัดอีกด้วยจ้า

2552/07/19

เตรียมตัวก่อนสอบ




เทคนิคการจำ

1.พยายามทำความเข้าใจเสียก่อน อย่าจำสิ่งที่ไม่เข้าใจ
2. พยายามสัมพันธ์สิ่งที่เรียนใหม่เข้ากับสิ่งที่เรียนมา
แล้วให้ได้
3. พยายามหาเนื้อหาใจความสำคัญให้ได้แล้วจำไว้ก่อน ส่วนย่อยจะมาเอง
4. พยายามบันทึกเนื้อหาอย่างมีระเบียบเป็นลำดับตามขั้นตอนที่เข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้
5. บทเรียนใดที่ยาวให้แบ่งเป็นส่วน ๆ เสียก่อนอ่าน ทำบันทึก
6. พยายามใช้ขั้นตอนอันเป็นเหตุเป็นผลแก่กันในการช่วยจำ
7. พยายามเรียนให้มาก ถ้าเป็นได้ควรให้มากกว่าที่กำหนดไว้เป็นการขยายความรู้ประสบการณ์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
8. พยายามอย่าหยุดโดยเฉพาะการเรียนวิชาใหม่ หรือวิชายาก โดยแสวงหาความรู้เบี้องต้น และความรู้ก้าวหน้าตลอดเวลา
9. การท่องเป็นจังหวะจะช่วยให้ท่องจำได้ง่ายขึ้น
10. พยายามทบทวน หรือ ทำซ้ำ ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ เท่าที่โอกาสจะอำนวย


การแก้ความเปลี้ยจากการอ่านหนังสือ

เมื่ออ่านหนังสือนาน ๆ อาจเกิดความอ่อนเพลียทางกายและทางสมองรวมไปถึงสายตาด้วย ที่มักเรียกกันว่า เกิดความเปลี้ย ผู้รู้ได้แนะวิธีการแก้ (หลังพักพอควร)เพื่อสร้างความสดชื่นขึ้นใหม่ ดังนี้


1.แก้ร่างกายเมื่อยขบ เปลี้ยล้า

ใช้การบริหารร่างกาย หรือวิธีโยคะเข้าช่วย เช่น บิดตัวไปทางซ้าย หมุนกลับมาทางขวาช้า ๆ เมื่อยคอให้เงยหน้าช้า ๆ ขึ้นลงหลาย ๆ ครั้ง อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดทั่วใบหน้าและลำคอแรง ๆ แล้ว นวดบางจุดเบา ๆ หรือใช้น้ำลูบหน้าหากอยู่ที่บ้านอาจใช้วิธีดัดตน เช่น นั่งคุกเข่าข้างฝาห้อง หันหน้าออกก้มหัวยันพื้นใช้เท้าไต่ขึ้นบนฝาผนังห้อง จนตัวตั้งตรง ปล่อยเท้าทีละข้างให้เอนไปข้างหน้าช้า ๆ สลับไปมาเลือดจะเข้าสมองมากขึ้น ออกซิเจน จะไปเลี้ยงเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้นช่วยแก้ความเปลี้ยล้าได้มาก


2.แก้ความง่วง เบื่อ ไม่อยากอ่าน

ใช้การหายใจช่วย ครั้งแรงพ่นอากาศออกจากปอดผ่านจมูกให้แรงที่สุด จนหมดสิ้นห่อปากให้เป็นรูเล็ก ๆ แล้วพ่นอากาศเสียที่หลงเหลืออยู่ออกไปจนหมด ค่อย ๆ สูดอากาศดีผ่านจมูกเข้าปอดช้า ๆ อาจนับ 1 ถึง 15 ช้า ๆ ให้อากาศอัดแน่น เต็มปอดจนสุดจะหายใจเข้าได้อีก แล้วหายใจออกช้า ๆ เหมือนข้างต้น ทำดังกล่าว 2-3 ครั้งจะแก้ความง่วง เบื่อการอ่านลงไปได้ (แนะนำว่าถ้าง่วงมาก ๆ ก็อย่าฝืนนะคะ เพราะหากเรารู้สึกทึบ ๆ หรือไม่สบายในวันสอบก็ทำข้อสอบไม่ได้ดีหรอกค่ะ ให้ฟุบลงซักพัก หรือนอนพักสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็ดีนะคะ)


3.แก้ความเปลี้ยของการใช้สายตา

เมื่อใช้สายตานานควรพักเสียบ้าง ให้มองสิ่งที่อยู่ไกลโล่ง ๆ ดูยอดไม้เขียว ๆ มองภาพหรือทิวทัศน์ (ทัศนียภาพ) ที่ห่างออกไปมาก ๆ ถ้าเป็นเวลากลางคืน ให้มองท้องฟ้า ดูดาวอันระยิบระยับ กล้ามเนื้อตาจะค่อย ๆ คลายตัว ถ้าอยู่ในห้องใช้การมองผนังห้องติดรูปภาพทิวทัศน์ต่าง ๆ จะช่วยได้มาก หรือดูทิวทัศน์จากหน้าต่าง มองให้ไกลออกไปให้เต็มที่ (เต็มตา) แล้วหลับตา ทำจิตให้สงบสร้างสมาธิด้วยการหายใจเข้าออกช้า ๆ หายใจเข้าให้เต็ม (ปอด) หายใจออกให้หมด จะช่วยแก้ความเปลี้ยและอาการปวดตาลงได้



***ขอเพิ่มอีกนิดนะคะสำหรับการเตรียมตัวสอบในระยะยาว***
-ให้เก็บความรู้ในห้องเรียนให้ได้มากที่สุดและทวนเป็นประจำ
-หัดสรุปโน๊ตย่อสาระสำคัญในแต่ระเรื่องจะช่วยให้ความจำดีขึ้น
-พอใกล้ถึงเวลาสอบก็ทบทวนกับสาระที่เราสรุปไว้เอา
-วันสุดท้ายก่อนสอบนอนให้เต็มอิ่มที่สุด

2552/07/16

10โรคประหลาด ที่ไม่น่าเป็นที่สุดในโลก

โลกเรายังมีโรคแปลกๆ ที่ยังรักษาไม่หายอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่แพทย์ยังไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ซึ่ง 10 โรค ต่อไปนี้เราอาจจะเคยได้ยิน หรือเห็นคนเป็นโรคมาบ้าง แต่บางโรคก็ไม่เคยได้ยินเลย และเพิ่งจะรู้ว่ามีโรคนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ

1 .โรคค็อดทาร์ดหรือโรคศพเดิน (Walking Corpse Syndrome)เป็นหนึ่งในโรคทางจิต ตั้งชื่อตามนายแพทย์จูลส์ ค็อดทาร์ด แพทย์ด้านสมองชาวฝรั่งเศส ที่พบว่าผู้ป่วยคนหนึ่งของเขาเป็นโรคนี้ นายแพทย์ค็อดทาร์ดกล่าวถึงผู้ป่วยที่เขารักษาว่า
"เธอไม่เชื่อว่าเธอมีอวัยวะ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องกินอาหาร"ผู้ป่วยมีความเชื่อว่าสูญเสียอวัยวะสำคัญ แม้กระทั่งสูญเสียวิญญาณ ผู้ที่เป็นมากๆ จะเชื่อว่าตนตายไปแล้ว ทั้งยังได้กลิ่นเหม็นเน่าจากเนื้อของตัวเอง รู้สึกว่าเหมือนหนอนกำลังกัดกินเนื้อ บางคนเชื่อว่าตัวเองไม่มีกระเพาะ จึงไม่กินอาหาร เป็นไปได้ว่าผู้ที่เป็นโรคเสพยาบ้า โคเคน มากเกินไป และอาจเกี่ยวข้องกับโรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน

2.โรคแวมไพร์ซินโดรม ได้ชื่อว่าแวมไพร์ต้องนึกถึงผีค้างคาวดูดเลือด ที่ออกอาละวาดในยามราตรี แต่กลัวแสงสว่างเป็นที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้ก็เช่นกัน คือกลัวแสงสว่าง เพราะเมื่อถูกแสงแดดแล้วจะเจ็บปวดอย่างมหาศาล ผิวแห้งแตกเป็นขุย มีรอยไหม้

3. โรคจัมพิ่ง เฟรนช์แมน ออฟ เมน (Jumping Frenchman of Maine Disorder) เป็นโรคที่นายแพทย์จอร์จ มิลเลอร์ เบียร์ด อธิบายไว้เป็นคนแรก เมื่อค.ศ.1878 คาดว่าผู้ป่วยที่เขาพบนั้นเป็นชายชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ผู้ป่วยจะเกิดอาการเมื่อถูกกระตุ้น เช่น ถ้าตะโกนดังๆ ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ป่วยก็จะทำตามนั้น เช่น มีผู้ตะโกนว่า "ตบหน้าเมีย" ก็จะกระโดดเข้าไปตบหน้าภรรยาของตนเองทันที หรือถ้าได้ยินประโยคแปลกๆ ประโยคที่เป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะพูดประโยคนั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

4.โรคเส้นบลาชโค (Blaschko"s lines) ผู้เป็นโรคจะลายริ้วๆ ไปทั้งตัว นับเป็นโรคหายากอีกโรคหนึ่ง ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักกายวิภาค ผู้ที่กล่าวถึงโรคนี้เป็นครั้งแรกคือนายแพทย์อัลเฟรด บลาชโค แพทย์ด้านผิวหนังชาวเยอรมัน ที่กล่าวถึงอาการของผู้เป็นโรคเมื่อค.ศ.1901 บริเวณกระดูกสันหลังจะเป็นเส้นรูปตัว V บริเวณหน้าอก ท้อง และข้างลำตัวจะเป็นเส้นรูปตัว S

5.โรคพิคา หรือโรคที่กินวัตถุที่ไม่สามารถบริโภคได้ ผู้ที่เป็นโรคจะมีความอยากกินวัตถุที่ไม่ใช่อาหารมาก เช่น ดิน กระดาษ กาว โคลน ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีวิธีรักษา แต่เป็นไปได้ว่าร่างกายขาดแร่ธาตุบางอย่าง

6.โรคอลิซในแดนมหัศจรรย์ หรือ "ไมครอพเซีย" เกิดจากความผิดปกติของสมอง ที่แปรสัญญาณไปยังสายตาผู้ป่วยให้มองทุกอย่างเล็กจากความเป็นจริง ทั้งที่สายตาของผู้ป่วยไม่มีความผิดปกติใดๆ เช่น มองสุนัขที่เลี้ยงไว้ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่าหนู รถยนต์คันใหญ่ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่ากับรถเด็กเล่น

7.โรคบลูสกิน หรือ "โรคผิวสีน้ำเงิน" ผู้เป็นโรคจะมีร่างกายเป็นสีน้ำเงิน ที่สหรัฐเมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ครอบครัวของนายมาร์ติน ฟูเกต เด็กกำพร้าชาวฝรั่งเศส และเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณลำธารทร็อบเบิ้ลซัมครีก รัฐเคนตั๊กกี้ เมื่อค.ศ.1820 เป็นโรคนี้กันอย่างถ้วนหน้า เริ่มจากที่นายฟูเกตเองที่เป็นโรคอยู่แล้ว เมื่อเขาสมรสกับหญิงปกติ ลูก 4 ใน 7 คนเป็นโรคสีน้ำเงินเหมือนพ่อ ลูกหลานที่มาจากเชื้อสายนี้อีก 6 ชั่วคนยังเป็นโรคนี้ด้วย โดยหนูน้อยเบนจามิน สเตซี่ ที่มีเชื้อสายฟูเกต เป็นคนในตระกูลล่าสุดที่เป็นโรค โชคดีที่เด็กชายไม่เป็นมาก เพียงไม่นานหลังจากเกิดก็หาย ปัจจุบันเด็กชายอายุ 8 ขวบ

8.โรคเวอร์วูล์ฟซินโดรม ผู้ป่วยจะมีขนยาวรุงรังตามหน้าตา แขนขา ทุกส่วนของร่างกาย คาดว่าปัจจุบันมีผู้เป็นโรคประมาณ 50 คนจากทั่วโลก เช่น เด็กชายปรัชวิราช พาทิล ชาวอินเดีย ที่ต้องเจ็บปวดจากการล้อเลียนของเพื่อนๆ และสังคม ซึ่งครอบครัวพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือ ทั้งใช้เลเซอร์แบบแพทย์แผนปัจจุบัน ไปจนถึงการรักษาแบบทางเลือก อายุรเวช

9.โรคมือเท้าช้างหรือ "เอเลแฟนต์เทียซิส" เป็นโรคที่พบเห็นกันค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มียุง เนื่องจากยุงเป็นพาหะของโรค โดยจะแพร่หนอนปรสิตวูชีเรเรียแบนครอฟตี หนอนปรสิตบรูเจียมาลายี หนอนปรสิตบี.ทิโมลี มายังคน ทำให้ไข่ของหนอนปรสิตเข้ามาในกระแสเลือดและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย มันอาจใช้เวลาฟักตัวนานหลายปี ที่เว็บไซต์ของโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนระบุว่า โรคมือเท้าช้างเป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้ายอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรค อาการที่เห็นได้ชัดคือ ขา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง
โรคเท้าช้างในประเทศไทยมี 2 ชนิด
ชนิดแรกเกิดจากเชื้อบรูเจียมาลายี มักมีอาการแขนขาโต พบมากในบริเวณที่ราบทางฝั่งตะวันออกของภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงนราธิวาส โดยมี "ยุงลายเสือ" เป็นพาหะ ยุงชนิดนี้กัดกินเลือดของสัตว์และคน ชอบออกหากินเวลากลางคืน มีแหล่งเพาะพันธุ์ตามแอ่งหรือหนองน้ำที่มีวัชพืชและพืชน้ำต่างๆ เช่น จอก ผักตบชวา แพงพวยน้ำ หรือหญ้าปล้อง
ชนิดที่สองเกิดจากเชื้อวูชีเรเรียแบนครอฟตี มักทำให้เกิดอาการบวมโตของอวัยวะสืบพันธุ์และแขนขา พบมากในบริเวณภาคตะวันตกของประเทศไทย เช่น ที่อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อำเภอละอุ่น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เป็นต้น ยุงพาหะนำโรคเท้าช้างชนิดนี้ได้แก่ "ยุงลายป่า" เพาะพันธุ์ตามป่าไผ่ ในโพรงไม้ และกระบอกไม้ไผ่ ปัจจุบันพบว่าเชื้อโรคเท้าช้างชนิดวูชีเรเรียแบนครอฟตี สายพันธุ์ที่นำเข้าโดยผู้อพยพจากชายแดนไทย-พม่า มียุงพาหะหลายชนิดรวมทั้งยุงรำคาญ ซึ่งเป็นยุงบ้านที่พบได้ทั่วไป
คนที่มีอาการมักจะเกิดจากการที่ถูกยุงที่มีเชื้อพยาธิเท้าช้างกัดซ้ำหลายครั้ง อาการในระยะแรก ผู้ป่วยอาจมีไข้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมและท่อน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรืออัณฑะ เนื่องจากพยาธิตัวแก่ที่อยู่ในท่อน้ำเหลืองสร้างความระคายเคืองแก่เนื้อเยื่อภายใน รวมทั้งมีการปล่อยสารพิษออกมาด้วย อาการอักเสบจะเป็นๆ หายๆ อยู่เช่นนี้ และจะกระตุ้นให้เกิดอาการบวมขึ้น หากเป็นนานหลายปีจะทำให้อวัยวะนั้นบวมโตอย่างถาวรและผิวหนังหนาแข็งขึ้นจนมีลักษณะขรุขระ

10.โรคโพรจีเรีย หรือ "โรคแก่ก่อนวัยอันควร" เป็นโรคที่เกิดจากรหัสทางพันธุกรรมตัวหนึ่งบกพร่อง ทำให้ผู้ป่วยมีรูปร่างหน้าตาแก่กว่าอายุจริงมาก ส่วนใหญ่แล้วเด็กจะอายุสั้น คือไม่เกิน 13 ปี มักเสียชีวิตจากสาเหตุหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย อาการของผู้เป็นโรคคือ หัวล้าน กระดูกบาง มีรูปร่างเตี้ยแคระ มักเจ็บปวดตามข้อ แต่เมื่อแรกเกิดแล้วจะดูเหมือนกับเด็กปกติ

2552/07/13

วิธีป้องกันและควบคุมไข้หวัด 2009


ปัจจุบันการแพร่ระบาดของ "โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่" ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) กำลังขยายตัวไปทั่วโลก และขณะนี้ประเทศไทยพบการระบาดภายในประเทศแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานศึกษา และสถานประกอบการ ซึ่งอาจแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้มีอาการคล้ายกันกับไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ส่วนใหญ่มีอาการน้อยและหายได้โดยไม่ต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาล
สำหรับผู้ป่วยจำนวนไม่มากในต่างประเทศที่เสียชีวิต มักเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคปอด หอบหืด โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน เป็นต้น ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ โรคอ้วน ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และหญิงมีครรภ์

สำหรับวิธีการติดต่อและวิธีการป้องกันโรค จะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ธรรมดา กระทรวงสาธารณสุข จึงขอให้คำแนะนำในการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) ดังต่อไปนี้

คำแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป
1. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ
2. ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ร่วมกับผู้อื่น
3. ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด
4. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดื่มน้ำมากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
5. ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานาน โดยไม่จำเป็น
6. ติดตามคำแนะนำอื่นๆ ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่
1. หากมีอาการป่วยไม่รุนแรง เช่น ไข้ไม่สูง ไม่ซึม และรับประทานอาหารได้ สามารถรักษาตามอาการด้วยตนเองที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล ควรใช้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ (ห้ามใช้ยาแอสไพริน) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมากๆ
2. ควรหยุดเรียน หยุดงาน จนกว่าจะหายเป็นปกติ และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น
3. สวมหน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องอยู่กับผู้อื่น หรือใช้กระดาษทิชชู ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากและจมูกทุกครั้งที่ไอ จาม
4. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ โดยเฉพาะหลังการไอ จาม
5. หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย อาเจียนมาก ซึม ควรรีบไปพบแพทย์

คำแนะนำสำหรับสถานศึกษา
1. แนะนำให้นักเรียนที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ พักรักษาตัวที่บ้านหรือหอพัก หากมีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์
2. ตรวจสอบจำนวนนักเรียนที่ขาดเรียนในแต่ละวัน หากพบขาดเรียนผิดปกติ หรือตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปในห้องเรียนเดียวกัน และสงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อสอบสวนและควบคุมโรค
3. แนะนำให้นักเรียนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เฝ้าสังเกตอาการของตนเองเป็นเวลา 7 วัน ถ้ามีอาการป่วยให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน
4. หากสถานศึกษาสามารถให้นักเรียนที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ทุกคนหยุดเรียนได้ ก็จะป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ดี และไม่จำเป็นต้องปิดสถานศึกษา แต่หากจะพิจารณาปิดสถานศึกษา ควรหารือร่วมกันระหว่างสถานศึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่
5. ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก เช่น โต๊ะเรียน ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ราวบันได คอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยการใช้น้ำผงซักฟอกเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง จัดให้มีอ่างล้างมือ น้ำและสบู่อย่างเพียงพอ ในบางวันควรเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และแสงแดดส่องได้ทั่วถึง

คำแนะนำสำหรับสถานประกอบการและสถานที่ทำงาน
1. แนะนำให้พนักงานที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ พักรักษาตัวที่บ้าน หากมีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์
2. ตรวจสอบจำนวนพนักงานที่ขาดงานในแต่ละวัน หากพบขาดงานผิดปกติ หรือตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปในแผนกเดียวกัน และสงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อสอบสวนและควบคุมโรค
3. แนะนำให้พนักงานที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เฝ้าสังเกตอาการของตนเองเป็นเวลา 7 วัน ถ้ามีอาการป่วยให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน
4. ในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่แนะนำให้ปิดสถานประกอบการหรือสถานที่ทำงาน เพื่อการป้องกันการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่
5. ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ ที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก เช่น โต๊ะทำงาน ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ราวบันได คอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยการใช้น้ำผงซักฟอกทั่วไปเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง จัดให้มีอ่างล้างมือ น้ำและสบู่อย่างเพียงพอ ในบางวันควรเปิดประตู หน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และแสงแดดส่องได้ทั่วถึง
6. ควรจัดทำแผนการประคองกิจการในสถานประกอบการและสถานที่ทำงาน เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง หากเกิดการระบาดใหญ่


แหล่งข้อมูลการติดต่อ เพื่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่
1. กรุงเทพมหานคร ติดต่อได้ที่ กองควบคุมโรค สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0-2245-8106 , 0-2246-0358 และ 0-2354-1836
2. ต่างจังหวัด ติดต่อได้ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง

2552/07/11

ChrisDelivery

วันที่ 8 ก.ค. เพื่อนๆและพี่ๆ โรงเรียนราชินีบูรณะ จ.นครปฐม แผนการเรียนภาษา ม. 4, 5 และ 6 มีโอกาสได้มาเรียนรู้ทั้งภาษาอังกฤษ และวิธีการถ่ายทำรายการ Chris Delivery ถึงสตูดิโอที่ถ่ายทำรายการเลย วันนั้นมีน้ำชา (นักร้อง/เพลง...รักแท้ยังไง) เป็นแขกรับเชิญของรายการด้วยจ้า ^^

ถ่ายรูปกับ Chris ^^

คนนี้ P'Poii น่ารักมั๊กๆ อารมดีสุดๆเลย ^^

episode นี้จะออกอากาศในวันศุกร์ที่ 17 กรกฏาคม เวลา 21.20 น. ทางสถานี

อย่าลืมชมและเรียนภาษาอังกฤษกับ Chris Delivery นะค่ะ


เวปไซต์ของรายการ Chris Delivery เอาไว้ดูรายการย้อนหลังและเรียนรู้ภาษาอังกฤษกันจ้า

2552/07/09

10 วิธี ดูแล "ฮาร์ดดิสก์"

แนะนำการบำรุงรักษาอุปกรณ์สำคัญของคอมพิวเตอร์นั่นก็คือ “ฮาร์ดดิสก์” ซึ่งสำหรับใครที่ยังมีฮาร์ดดิสก์ อยู่กับตัว ไม่พังไปเสียก่อน อ่านบทความนี้แล้วหมั่นปฏิบัติตาม รับรองว่าดีต่อฮาร์ดดิสก์ของคุณแน่นอน โปรแกรมที่คุณใช้งานอยู่เป็นประจำทำงานช้าลงหรือเปล่า? หรือพีซีอายุใช้งาน 4 เดือนของคุณมีอาการงอแงหรือไม่? ต่อไปนี้คือวิธีการแก้ปัญหาและเพิ่มความเร็วให้กับฮาร์ดดิสก์ตัวเก่งของคุณ
การเป็นเจ้าของและใช้งานฮาร์ดดิสก์โดยไม่เคยสแกนตรวจสอบก็เหมือนกับการมีรถยนต์คันหรูที่เอาแต่ขับอย่างเดียวไม่เคยเข้า ศูนย์บริการ ซึ่งทิปต่อไปนี้สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องลงแรงมากนัก เพียงแค่เจียดเวลาสักนิดในการปฏิบัติตาม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ ฮาร์ดดิสก์ของคุณกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนใหม่และทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ



1. สแกนหาไวรัส
จัดเป็นข้อควรปฏิบัติที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ ที่คุณควรให้ความสำคัญและหมั่นทำเป็นประจำ เราคงไม่ต้องบอกคุณแล้วว่าไวรัสในปัจจุบันนั้นมีฤทธิ์เดช ร้ายแรงแค่ไหน เอาเป็นว่าให้คุณลองนึกถึงตอนที่ไฟล์ข้อมูลสำคัญในฮาร์ดดิสก์ถูกทำลายหรือเสียหายเพียงแค่เพราะว่าคุณไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมป้องกัน ไวรัสเอาไว้ในเครื่อง หรือใครที่ติดตั้งเอาไว้แล้วก็ไม่ควรชะล่าใจ ลองตรวจสอบวันที่ของฐานข้อมูลไวรัส (Virus Definition) ถ้าเก่า เกินกว่า 30 วัน ก็ควรรีบทำการอัพเดตให้เป็นเวอร์ชันปัจจุบันเพื่อการป้องกันที่เต็มประสิทธิภาพ จากนั้นทำการสแกนฮาร์ดดิสก์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ในระบบ ถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้กำหนดตารางเวลาในการสแกนเป็นประจำทุกสัปดาห์
2. ปัดกวาดไฟล์หรือขยะที่ไม่ได้ใช้
ยิ่งใช้งานเครื่องมานานเท่าใด ไฟล์ข้อมูลเก่าๆ หรือขยะในเครื่องก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ข้อมูลเก่า โปรแกรมเก่า ไฟล์ชั่วคราว ที่หลงเหลือจากการท่องอินเทอร์เน็ตรวมทั้งไฟล์ที่ตกค้างจากการติดตั้งโปรแกรมในโฟลเดอร์เก็บไฟล์ชั่วคราวของวินโดว์ส ซึ่งวิธีการง่ายๆ ในการ กำจัดไฟล์ขยะเหล่า นี้ก็คือการใช้ยูทิลิตี้ Disk Cleanup ของวินโดว์สหรือจากออปชันทำความสะอาดไฟล์ในโปรแกรม IE โดยตรง (Tools -> Internet Options)
3. กำจัดขยะในซอกหลืบ
แม้ว่าคุณจะทำการลบไฟล์ขยะด้วยตัวเองไปแล้ว แต่ก็ยังอาจมีเศษขยะที่มองไม่เห็นตกค้างอยู่ในฮาร์ดดิสก์ของคุณอีกมากมาย โดยเศษขยะในที่นี้ หมายถึงบรรดา สปายแวร์หรือแอดแวร์ต่างๆ ด้วย ซึ่งวิธีการตรวจสอบหาขยะเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษคือโปรแกรมอย่างเช่น Ad-aware หรือ Spybot Search & Destroy ที่หาดาวน์โหลดได้ฟรีจากอินเทอร์เน็ต ที่สำคัญคืออย่าลืมอัพเดตฐานข้อมูลให้กับโปรแกรมดังกล่าวก่อนเริ่ม ทำการสแกนระบบด้วย
4. หมั่นใช้สแกนดิสก์
เมื่อใดก็ตามที่พื้นที่เก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เกิดบกพร่องเสียหาย เรามักจะใช้คำแทนจุดบกพร่องนั้นๆ ว่า “Bad Sector” ซึ่งมีความหมายว่า บริเวณพื้นผิวของจาน แม่เหล็กเกิดความเสียหายจนไม่สามารถทำการอ่านข้อมูลได้ ซึ่งวิธีการแก้ไขนั้นคือการใช้ยูทิลิตี้ Scandisk ของวินโดว์ส ในการตรวจสอบหาจุดที่เกิด Bad Sector และย้ายข้อมูลที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ ไปยังเซกเตอร์อื่นๆ ที่ปกติทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของไฟล์ข้อมูล โดยในหน้าต่างยูทิลิตี้ Scandisk นั้นให้คุณเลือกออปชัน Scan for and attempt recovery of bad sectors ด้วยก่อนเริ่มทำการสแกน นอกจากนี้หากคุณใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 98/Me แนะนำให้ปิดการทำงาน ของสกรีนเซฟเวอร์ก่อนเริ่ม Scandisk ด้วย
5. จัดเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบ
โปรแกรม Defragmenter ที่ไม่ต้องเสียเวลาหาให้ไกลเพราะมีอยู่ในวินโดว์สทุกเวอร์ชันแล้วนั้นจะช่วยในการจัดเรียงข้อมูลที่ถูกเขียนลงฮาร์ดดิสก์ อย่างสะเปะสะปะ ให้มีระเบียบและเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้หัวอ่านฮาร์ดดิสก์ไม่ต้องทำงานหนักและใช้เวลาในการอ่านข้อมูลสั้นลง และโปรดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าโปรแกรม จะจับไฟล์ในโฟลเดอร์ของคุณไปสลับสับเปลี่ยนหรือเรียงไว้ในโฟลเดอร์อื่นๆ จนหาไม่เจอ เพราะการ Defrag นั้นจะทำการจัดเรียงไฟล์ข้อมูลบนดิสก์เท่านั้นไม่ส่งผล กระทบต่อโครงสร้างการเก็บไฟล์ในวินโดว์สแต่อย่างใด
6. เก็บทุกอย่างให้เข้าที่
ขั้นตอนนี้จะเรียกว่าเป็นวินัยส่วนตัวก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นลิ้นชักตู้เสื้อผ้าหรือฮาร์ดดิสก์ก็ล้วนต้องการระบบระเบียบในการจัดเก็บที่ดีด้วยกันทั้งนั้น ฟังดูอาจเป็นงานที่น่าเบื่อ แต่ถ้าฝึกให้เป็นนิสัยตั้งแต่แรกก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย ส่วนใครที่ยังเก็บไฟล์ทุกชนิดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร ไฟล์รูปภาพ ไฟล์วิดีโอ ไฟล์เพลง ฯลฯ ปนกันมั่วไว้ในโฟลเดอร์เดียวกัน เตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องปวดหัวในการค้นหาไฟล์เมื่อต้องการใช้งานให้ดี แต่ถ้าไม่อยากก็สละเวลาจัดการจัดไฟล์ลงโฟลเดอร์ให้เรียบร้อยเสียตั้งแต่วันนี้
7. แบ็กอัพข้อมูล
ไม่มีฮาร์ดดิสก์รุ่นไหน ยี่ห้อใด ที่จะมีอายุยืนยาวอยู่กับคุณไปตลอดกาล แต่ถึงแม้ในที่สุดฮาร์ดดิสก์ของคุณจะหมดอายุขัย ก็ไม่ได้หมายความว่าข้อมูล ทั้งหมดที่เก็บอยู่ในนั้นจะสูญหายไปด้วย เพียงแต่สิ่งที่คุณควรต้องหมั่นทำเป็นกิจวัตรก็คือการแบ็กอัพไฟล์ข้อมูลสำคัญๆ เก็บไว้ในฟล๊อบปี้ดิสก์ แผ่นซีดี ดีวีดี หรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่ฮาร์ดดิสก์ตัวที่ใช้งานอยู่ หรือถ้าที่กล่าวมานั้นมันยุ่งยากหรือทำให้คุณลำบากเกินไป แนะนำให้ใช้ทัมป์ไดรฟ์ที่ปัจจุบันมีราคา แสนถูก และถ้าไม่ลำบากเงินในกระเป๋าจนเกินไปเลือกรุ่นที่จุ 128MB ขึ้นไปจะดีมาก
8. เทขยะอย่าให้เหลือไฟล์ตกค้าง
เมื่อคุณกดปุ่ม Delete เพื่อลบไฟล์ ซึ่งในทางปฏิบัติดูเหมือนว่าไฟล์ข้อมูลของคุณจะถูกลบออกไป แต่ในทางทฤษฎีนั้นไฟล์ของคุณจะยังไม่ถูกลบ ออก ไปจริงๆ เพียงแต่วินโดว์สจะทำเครื่องหมายไว้ในพื้นที่ส่วนนั้นๆ ว่าเป็นที่ว่างและเมื่อใดที่มีการเขียนไฟล์ข้อมูลก็สามารถเขียนทับตำแหน่งนั้นๆ ได้ นอกจากนี้วินโดว์สจะนำไฟล์ที่คุณลบไปใส่ไว้ในถังขยะ (Recycle Bin) เผื่อกรณีที่คุณเกิดเปลี่ยนใจหรือตัดสินใจพลาด หากใครช่างสังเกตจะพบว่า แม้จะลบไฟล์ข้อมูลไปแล้วแต่พื้นที่ว่างในอาร์ดดิสก์นั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เพราะข้อมูลนั้นๆ ยังนอนรอชะตากรรมอยู่ในถังขยะ (Recycle Bin) นั่นเอง ดังนั้นหากคุณมั่นใจว่าไม่ใช้งานแล้ว หรือไม่ต้องการให้ใครมาแอบคุ้ยถังขยะเอาข้อมูลส่วนตัวของคุณไป แนะให้คลิกขวาที่ไอคอน Recycle Bin แล้วเลือกคำสั่ง Empty Recycle Bin เพื่อกำจัดขยะในถังให้สิ้นซาก
9. แบ่งพาร์ทิชันเพื่อเก็บข้อมูล
ฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไปที่ออกมาจากโรงงานนั้นจะไม่มีการแบ่งพาร์ทิชันเอาไว้ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือซื้อ 80GB ก็จะได้ไดรฟ์ C: ความจุ 80GB มาใช้งาน แต่ถ้าจะให้ดี แนะนำให้คุณทำการแบ่งฮาร์ดดิสก์ออกเป็นส่วนๆ หรือที่เรียกว่าการแบ่งพาร์ทิชันนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ 80GB นำมาแบ่งเป็น 2 พาร์ทิชัน พาร์ทิชันละ 40GB ซึ่งคุณก็จะได้ไดรฟ์มาใช้งาน 2 ไดรฟ์คือไดรฟ์ C: และไดรฟ์ D: ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนอกจากจะช่วย ลดภาระของหัวอ่านและเพิ่มความเร็วในการทำงานของฮาร์ดดิสก์แล้ว คุณยังสามารถแยกไฟล์สำคัญๆ มาเก็บไว้ในไดรฟ์แยกต่างหากจากไดรฟ์ที่ติดตั้ง วินโดว์สซึ่งอาจโดนไวรัสเล่นงานจนเสียหายได้อีกด้วย ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนั้นคุณสามารถทำได้ในขณะที่ติดตั้ง Windows XP เลย แต่ถ้าไม่ได้ทำ ก็ไม่เป็นไรเพราะปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับการนี้มากมายซึ่งที่นิยมใช้กันมากที่สุดได้แก่โปรแกรม Partition Magic
10. เลือกความเร็วให้เหมาะกับงาน
วิธีการที่ผ่านมานั้นสามารถช่วยให้ฮาร์ดดิสก์ของคุณสามารถทำงานได้เร็วขึ้นได้อีกเล็กน้อย อย่างไรก็ดี หากคุณกำลังมองหาหรือตัดสินใจซื้อฮาร์ดดิสก์ ใหม่ แนะนำให้พิจารณาเลือกรุ่นความเร็วที่เหมาะสมกับลักษณะงานที่คุณต้องการใช้งาน เช่น เลือกรุ่นที่มีความเร็วในการหมุนจานแม่เหล็ก 5,400 RPM (รอบ/นาที) ที่มีราคาถูกถ้าคุณใช้เพียงโปรแกรมทั่วๆ ไปเช่น เล่นอินเทอร์เน็ต รับ-ส่งอีเมล์ หรือพิมพ์งานด้วยโปรแกรมเวิร์ด หรือถ้างานของคุณ เกี่ยวกับการตกแต่งภาพถ่าย เล่นเกม ก็อาจเลือกซื้อรุ่น 7200 RPM หรืออาจจะเป็น 10,000 RPM เลยก็ได้หากทำงานประเภทตัดต่อวิดีโอเป็นหลัก ซึ่งฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วในการหมุนจานแม่เหล็กสูงและมีขนาดของแคชภายในมากจะช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานให้กับคุณมากยิ่งขึ้น

2552/07/07

30 ความคิดดีๆวิธีเรียกความสุขแบบง๊าย ง่าย

1.นึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง
2.ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเขาต้องยิ้มกลับมาทุกครั้งแน่
3.ลองปลูกต้นไม้เองสักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้
4.หลับตานิ่งๆสักสามนาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากเหลือเกิน
5.ระหว่างแปรงฟัน ฮัมแพลงด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นสองเท่า
6.เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาดธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย
7.ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหน ก็ต้องการให้หวีอย่างถนุถนอมเหมือนกันหมด
8.การขึ้นลงบันใดสูงๆ แบบไม่ให้เมื่อย คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันใดขั้นที่เท่าไร
9.คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวย/หล่อมากๆทันทีที่คุณถามเขาว่า"ช่วยพาข้ามถนนไหมคะ/ครับ?"
10.เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่หย่อนลงกรป๋องหรอก
11.ควรหัดพูดคำว่า "ไม่เป็นไร" ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า "จะเอายังไง"
12.ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ค่อยไปสายเหมือนก่อน
13.สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้จึงควรเล่าให้มันฟัง
14.อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
15.เขียนชื่อคนที่เกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้ง ความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ
16.ให้ปล่อยให้น้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้งแล้วแทบดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องให้
17.ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆ จะทำให้เรายิ้มได้เสมอเมื่อไปหยิบมาเล่นอีกครั้ง
18.ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อยสามข้อก่อน
19.ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อยๆ ก็ดูเหมือนมันมีเยอะเอง
20.ซาลาเปา 1 ลูกกินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้กินได้ 4 คนถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง
21.เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ดีกว่า ให้คนที่ได้เยอะจนจำชื่อคนที่ให้ไม่ได้
22.ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกก็จะดีขึ้น
23.แอบรักใครสักคน ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นอย่างไร
24.ถึงจะไม่ออกไปไหน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นิ
25.ฝึกโรแมนติกง่ายๆ คนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน
26.ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนใสได้ ทำไมคุณจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้
27.พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม มันอาจจะไม่สนุกแต่ก้มีประโยชน์แฝงอยู่
28.วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าทีจะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย
29.แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่าน ก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว
30.ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท

2552/07/05

วัดพระศรีอารย์

วัดพระศรีอารย์
ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ภายในมีพระอุโบสถทองคำร้อยล้าน รูปแบบอุโบสถเป็นศิลปะอยุธยาตอนปลาย ประดับด้วยลวดลายปูนปั้น จิตรกรรมเรื่องพระมหาชนก ทศชาติพระเจ้าห้าพระองค์ พระประธานในพระอุโบสถเป็น ปางมารวิชัย ศิลปะพม่า สร้างด้วยหยกขาวทั้งองค์ที่ได้อัญเชิญมาจากประเทศพม่า นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปคู่วัด คือ พระศรีอารย์ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่พิมพ์พระศรีอารย์ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ มีตาลปัตรอยู่ด้านหน้าองค์พระพุทธรูป จีวรจับกลีบคล้ายพระพุทธลักษณะสมัยคันธาระ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนเคารพกราบไหว้ ภายในวัดยังมีต้นสาละที่นำมาจากประเทศอินเดีย และมีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาสำหรับเด็กและเยาวชน คือ การเข้าค่ายพระพุทธ และ ต้องออกค่ายยุววาทศิลป์
การเดินทาง ใช้เส้นทางไปอำเภอโพธาราม เส้นทางหลวงหมายเลข ๓๐๘๐ ห่างจากสี่แยกบางแพไปประมาณ ๕๐๐ เมตร

2552/07/02

เหตุผลที่ควรเลิกบุหรี่


นอกจากราคาแพงขึ้น ต่อไปนี้เป็นเหตุผลที่ควรจะเลิกบุหรี่ คอลัมน์ Me, Myself&mind&body นิตยสาร "สุดสัปดาห์" เดือนมิ.ย.รวบรวมไว้ดังนี้
1.จากสถิติพบว่า ถ้าพ่อหรือแม่ติดบุหรี่ โอกาสที่ลูกจะติดตามไปด้วยสูงถึงร้อยละ 70 เพราะลูกจะเกิดค่านิยมทางบวกต่อการสูบบุหรี่และเลียนแบบพ่อแม่
2.ผู้หญิงที่สูบบุหรี่มีอัตราการติดเชื้อไวรัสแปปปิลโลมาบริเวณปากมดลูกเพิ่มขึ้น ซึ่งปากมดลูกที่ติดเชื้อไวรัสตัวนี้ มีเปอร์เซ็นต์กลายเป็นมะเร็งปากมดลูกสูง
3.หญิงมีครรภ์ที่สูบบุหรี่มีโอกาสแท้งลูก คลอดลูกก่อนกำหนด หรือทารกตายขณะคลอด
4.เด็กในบ้านที่ผู้ใหญ่สูบบุหรี่มักตรวจพบสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของนิโคติน และสารก่อมะเร็งในน้ำลายและปัสสาวะ มีโอกาสป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ หลอดลมอักเสบ และปอดบวมมากกว่าเด็กในบ้านที่ไม่มีคนสูบบุหรี่
5.โรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ แทบทุกโรคไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบและถุงลมโป่งพอง
6.บุหรี่รสเมนทอลผสมที่ทำให้ผู้สูบเย็นคอ แม้จะไม่เป็นพิษต่อร่างกายแต่ก็ทำให้ติดบุหรี่ง่าย เมื่อสูบมากขึ้นจะทำให้รับสารพิษจากควันบุหรี่เข้าสู่ปอดมากขึ้น
7.หลอดพลาสติกหรือโลหะที่ต่อกับก้นบุหรี่ที่สูบอาจกรองส่วนประกอบของควันบุหรี่ที่เป็นอนุภาคขนาดใหญ่บางส่วนได้ แต่ส่วนประกอบที่เป็นอนุภาคเล็กที่เป็นควันจะผ่านก้นกรองไปได้อยู่ดี
8.สารไนโตรเจนออกไซด์ในควันบุหรี่เป็นตัวทำลายเนื้อเยื่อในปอดและถุงลมฉีกขาด และรวมตัวเป็นถุงลมขนาดใหญ่ขึ้น นำไปสู่โรคถุงลมโป่งพอง ผลวิจัยร้อยละ 70 ของผู้ป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพองระยะสุดท้ายจะเสียชีวิตใน 10 ปี
9.ผู้สูบบุหรี่จะปรากฏรอยตีนกาเร็วกว่าและมากกว่าผู้ไม่สูบ เนื่องจากนิโคตินทำให้เส้นเลือดทั่วตัว รวมถึงบริเวณผิวหนังหดตัวตลอดเวลา โดยเฉลี่ยผู้ที่สูบบุหรี่จนติดอวัยวะทุกระบบจะเสื่อมหรือแก่เร็วขึ้นกว่าผู้ไม่สูบประมาณ 10 ปี
10.นิโคตินเป็นสารเสพติดมีฤทธิ์กระตุ้นสมองอย่างแรงในระยะแรก แต่ต่อมาจะกดสมองและทำให้ผู้สูบบุหรี่คิดช้าลงหรือคิดไม่ออก ต้องเริ่มสูบบุหรี่ใหม่เพื่อกระตุ้นสมองอีกครั้ง
11.ผู้สูบบุหรี่ทุกคนมีโอกาสเป็นมะเร็งที่ริมฝีปาก ช่องปาก และลิ้น

รู้อย่างนี้แล้ว จะกลืนควันกันต่ออีกไหม ???