2552/10/21

สธ.แนะ 5 บัญญัติ กินเจเลี่ยงขาดสารอาหาร

*สธ.แนะหลักปฏิบัติ 5 ประการต้อนรับเทศกาลกินเจเพื่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงขาดสารอาหาร ให้ดื่มนมถั่วเหลือง เพิ่มโปรตีน-แคลเซียมด้วย กินผักสด-ผลไม้ เพิ่มวิตามินให้ร่างกาย


ช่วงวันที่ 18-26 ต.ค. เป็นเทศกาลถือศีลกินเจ ปัจจุบันมีผู้นิยมกินอาหารประเภทนี้มากขึ้นทั้งกินเพื่อสุขภาพและกินเพื่อถือศีล อาหารเจโดยทั่วไป มีส่วนประกอบหลักคือธัญพืชจำพวก ถั่ว งา ผักและผลไม้ 5 สี ได้แก่ ขาว ดำ แดง เขียว เหลือง งดพวกอาหารหมักดอง ละเว้นเนื้อสัตว์

ในการกินเจต้องเลือกปฏิบัติให้เหมาะสมตามวัย อายุ และสภาพร่างกาย เพราะอาจมีผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้ กลุ่มที่ต้องระมัดระวังในการกินเจ เป็นกรณีพิเศษ ได้แก่กลุ่มเด็ก คนป่วยและหญิงตั้งครรภ์ ควรกินระยะสั้น ๆ ในช่วงถือศีลเจ 9 วัน เนื่องจากร่างกายต้องการสารอาหารที่ครบถ้วนมากกว่าคนปกติทั่วไป จึงเสี่ยงขาดสารอาหารได้ ในการกินเจ ต้องกินอาหารอื่นให้ครบ 5 หมู่ โดยให้ดื่มนมถั่วเหลือง เพิ่มโปรตีนและแคลเซียมด้วย รวมทั้งกินผักสดและผลไม้ เพิ่มวิตามินให้ร่างกาย ในกรณีของเด็ก หากต้องกินเจต่อเนื่องเป็นระยะยาวหรือตลอดไป จะต้องดื่มนมและกินไข่ด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นในการเจริญเติบโต

ผู้ที่ถือศีลกินเจ ต้องระวังเรื่องการปรุงอาหารไม่ให้มันมาก เนื่องจากอาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว อาหารเจทั่วไป ถ้าเป็นผักจะนำมาต้มจนเปื่อย และอุ่นซ้ำบ่อย ๆ ทำให้สูญเสียวิตามิน ควรกินผักสด และผลไม้ตามด้วยทุกมื้อ เพื่อให้ได้วิตามินที่เพียงพอ

สำหรับในกลุ่มของประชาชนที่ต้องการกินเจเพื่อสุขภาพ มีข้อแนะนำดังนี้

1.ต้องกินผักและผลไม้สดด้วย
2.ต้องระวังการกินอาหารที่มีไขมันมาก
3.ต้องระวังอาหารที่มีรสเค็มจัด
4.ต้องมั่นใจในวัตถุดิบที่นำมาปรุงอาหารเจว่าเป็นโปรตีนจากพืช ไม่ใช่แป้ง
5.ต้องล้างผักและผลไม้เพื่อลดสารพิษตกค้าง

ทั้งนี้ การลดสารพิษตกค้างในผักผลไม้มีหลายวิธี ได้แก่ การล้างน้ำผักในน้ำไหลนาน 2 นาที จะลดสารพิษได้ ร้อยละ 54-63 ล้างด้วยผงฟูในอัตราผงฟู 1 ช้อนโต๊ะต่อด้วยน้ำ 1 อ่าง แช่ทิ้งไว้ 15 นาที จะลดสารพิษลงได้ร้อยละ 90-95 หรือแช่ในน้ำสะอาด นาน 15 นาที ช่วยลดสารพิษลงได้ร้อยละ 7-33 นอกจากนี้อาจล้างด้วยน้ำผสมด่างทับทิม ประมาณ 20-13 เกล็ด ต่อน้ำ 4 ลิตร นาน 10 นาที แล้วล้างน้ำตาม จะลดสารพิษลงได้ร้อยละ 50 การล้างด้วยน้ำเกลือเข้มข้นร้อยละ 50 โดยใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 4 ลิตร นาน 2 นาที จะลดสารพิษลงร้อยละ 34 หากล้างด้วยน้ำส้มสายชู โดยใช้น้ำส้มสายชู 1 ขวด ต่อน้ำ 4 ลิตร นาน 15 นาที จะลดสารพิษลงได้ร้อยละ 60-84


2552/10/16

เทศกาลกินเจประจำปี 2552

เทศกาลกินเจ ประจำปี 2552 เริ่ม 17 ต.ค.- 26 ต.ค.

วันที่ 18-26 ตุลาคม 2552
รับพระคืนวันที่ 17 ตุลาคม 2552
ส่งพระคืนวันที่ 26 ตุลาคม 2552


เมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี เราจะเห็นธงสีเหลืองๆ มีตัวอักษรจีนประดับอยู่ตามร้านอาหาร และที่ต่างๆ เป็นสัญลักษณ์ว่า เริ่มเข้าสู่เทศกาลกินเจแล้ว สำหรับเทศกาลกินเจ ปี 2552 เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 เดือนตุลาคม ถึง วันที่ 26 ตุลาคม 2552 แต่บางคนอาจกินเจล่วงหน้า 1 วัน หรือที่เรียกว่า "ล้างท้อง" นั่นเอง สำหรับวันนี้เรามีความรู้เกี่ยวกับเทศกาลกินเจมาฝากค่ะ ...

ความหมายของเจ

คำว่า "เจ" ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายว่า "อุโบสถ" เดิมหมายความว่า "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของชาวพุทธที่รักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ที่จะไม่รับประทานอาหารหลังเที่ยงวันไปแล้ว แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย เราจึงนิยมเรียกการไม่ทานเนื้อสัตว์รวมไปกับการกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ดังนั้นความหมายของคนกินเจ ไม่เพียงแต่ไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ
"การกินเจ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของสดคาว แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า "เจียฉ่าย" หมายถึง การกินอาหารผัก อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ และงดเว้นน้ำนมสด นมข้นด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว

กินเจเพื่ออะไร

จุดประสงค์หลักของการกินเจ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. กินเพื่อสุขภาพ เพราะอาหารเจเป็นอาหารชีวจิต เมื่อกินติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ และปรับระบบต่างๆ ในร่างกายให้มีเสถียรภาพ
2. กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากทุกๆ วัน อาหารที่เรากินประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้ที่มีจิตใจดีงามจึงไม่สามารถกินเนื้อของสัตว์เหล่านั้นได้
3.กินเพื่อเว้นกรรม เพราะการฆ่าเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ตาม เพราะการซื้อผู้อื่นเท่ากับการจ้างฆ่า ถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย ผู้ที่เข้าใจเรี่องกฎแห่งกรรมจึงหยุดกิน หันมารับประทานอาหารเจแทน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่ให้อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น

อาหารเจ

อาหารเจนับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ และไม่มีพิษต่อร่างกาย เพราะได้โปรตีนจากถั่วต่างๆ และยังย่อยง่ายเป็นการแบ่งเบาภาระของระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย ผู้ที่รับประทานเจ สามารถเลือกส่วนผสมดังต่อไปนี้มาปรุงอาหารได้ คือ ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว) โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์ เต้าหู้ แป้งหมี่กึง และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่างๆ ปัจจุบันมีเมนูอาหารจำนวนมาก ซึ่งหลายเมนูทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ได้เหมือนจริง เช่น ขาหมูเจที่ทำจากแป้ง และถั่ว ฯลฯ

ความแตกต่างของ "เจ" กับ "มังสวิรัติ"

หลายคนอาจสงสัยว่า "กินเจ" ต่างกับ "กินมังสวิรัติ" อย่างไร เพราะอาหารมังสวิรัติก็เป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกัน แต่มังสวิรัติสามารถทานผักได้ทุกชนิด แต่อาหารเจ ต้องเว้นผักฉุน 5 ประเภท คือ ผักชี กระเทียม หัวหอม (รวมทั้งหอมแดง หอมขาว หัวหอมใหญ่ ต้นหอม) หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน ไม่ค่อยพบในประเทศไทย) กุยช่าย และใบยาสูบ รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการถือศีลกินเจที่แท้จริง ขณะที่มังสวิรัติ หมายถึง การไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น

หลักธรรมในการกินเจ

การกินเจตั้งมั่นอยู่บนหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ
1. การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น คือ ไม่เอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตของตน, ไม่เอาเลือดของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเลือดของตน และไม่เอาเนื้อของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเนื้อของตัวเอง
2.การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเอง คือ จะรับประทานสิ่งใดเข้าไปต้องไม่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมเท่ากับเป็นการเบียดเบียนตนเอง ดังนั้นจึงมีการห้ามของมึนเมา สารเสพติด ขณะที่วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ยืนยันว่า เลือดและเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วยพิษภัยมากมาย เนื้อสัตว์เหล่านี้จึงจัดเป็นพิษชนิดหนึ่งเช่นกัน การละเว้นจึงส่งผลดีต่อร่างกายอีกด้วย

การปฏิบัติตนในช่วงกินเจ

ช่วงเวลา 9 วันที่กินเจนั้น ผู้ที่ต้องการเป็นผู้ถือศีลกินเจอย่างครบสมบูรณ์ตามประเพณี ต้องปฏิบัติตัวดังนี้
1. งดเว้นเนื้อสัตว์ และทำอันตรายต่อสัตว์
2. งดนม เนย และน้ำมันที่มาจากสัตว์
3. งดอาหารรสจัด ทั้งอาหารเผ็ด หวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด
4. งดผักหรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรง เช่น ผักชี กระเทียม หัวหอม ต้นหอม หลักเกียว กุยช่าย รวมทั้งใบยาสูบ และของมึนเมาต่างๆ เพราะผักดังกล่าวนี้ เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีพิษคอยทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ
5. รักษาศีลห้า
6. ทำบุญทำทาน สำหรับคนที่เคร่งครัดจะนุ่งขาวห่มขาว
7. รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์

สำหรับผู้ที่เคร่งครัดมากๆ จะทานอาหารเฉพาะที่คนกินเจด้วยกันเป็นคนปรุงเท่านั้น รวมทั้งจะต้องล้างหม้อจนสะอาด แยกภาชนะสำหรับใส่เนื้อสัตว์ออก เพื่อปรุงอาหารเจเฉพาะ นอกจากนี้ยังจุดตะเกียงไว้ 9 ดวงตลอดช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน โดยไม่ปล่อยให้ดับ เพื่อเป็นพุทธบูชา และรำลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ญาติพี่น้อง ตลอดจนผู้ที่มีบุญคุณต่อผืนแผ่นดินเกิด

ประโยชน์ของการกินเจ

การกินอาหารเจ นอกจากจะเป็นการถือศีลรักษาประเพณี และละเว้นชีวิตแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้
1. ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมดทำให้ ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน เพราะสารอาหารจากพืชผักและผลไม้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ
2. เมื่อรับประทานเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาวมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส ร่างกายแข็งแรงรู้สึก มีสุขภาพดี
3. อวัยวะหลักสำคัญภายใน ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด และอวัยวะประกอบคือ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาอาหาร ถุงน้ำดี แข็งแรงทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์
4. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้แก่ สารเคมี ยาฆ่าแมลง มลภาวะ และก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม ไอเสียจากเครื่องจักร เครื่องยนต์ ซึ่งสารอาหารในพืชผัก จะช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายสามารถทนต่อการทำลายจากรังสีต่างๆ ได้
5. สามารถต้านทานสารพิษได้สูงกว่าคนปกติ ในบรรดาผู้ที่ทานเจมักไม่ปรากฎโรครุนแรงหรือเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคไต ฯลฯ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร มะเร็งในกระเพาะและลำไส้ โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบเลยในกลุ่มคนผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ
6.การกินเจทำให้เกิดความเมตตา เกิดความสงบสุขุม อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่โมโหง่าย ซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริมให้บารมีธรรมสูงขึ้นเรื่อยๆ
7.หยุดการสร้างบาป เวรกรรม ทำให้ไม่เกิดการอาฆาต พยาบาท จึงปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งทำร้ายตามจองเวร


การกินเจนอกจากจะช่วยซ่อมแซมร่างกายของตัวเองแล้ว ยังหยุดการเบียดเบียนผู้อื่น เป็นการสร้างกุศลอิ่มใจแล้วก็อิ่มบุญอีกต่อ ใครที่ไม่เคยกินเจ ก็สามารถเริ่มในปีนี้
(17 ตุลาคม – 26 ตุลาคม) ก็ไม่สายเกินไปนะคะ

2552/10/10

วิธีการดูแลผมแตกปลาย

คุณเคยมีผมแตกปลายไหม ?


*โดยส่วนใหญ่ปัญหานี้มักเกิดกับคุณผู้หญิงที่มีผมยาวสลวย และต่างก็เคยผ่านกรรมวิธี "ดัด โกรก ยืด ย้อม ไดร์ หนีบ"

*สารพัดตัวการที่ทำให้สภาพเส้นผมย่ำแย่ จนต้องเล็มบ้าง ตัดบ้าง เป็นปัญหาหนักอกหนักใจสำหรับคนรักเส้นผมซะเหลือเกิน...

*บางคนอาจแก้ปัญหาด้วยการ อบไอน้ำ บำรุงเส้นผมด้วยครีมบำรุงผม (treatment) ที่มีราคาแพง ซึ่งคงช่วยได้บ้าง แต่ก็อาจกลับมาแตกปลายได้อีก

*ดังนั้น วันนี้เราก็มีวิธีธรรมชาติที่ถูกแสนถูกมาฝาก นั่นคือการใช้น้ำตะไคร้ โดยเอาตะไคร้ 2-3 ต้น มาตำให้ละเอียด แล้วคั้นกรองเอาแต่น้ำไว้ใช้นวดผมหลังสระ ทิ้งไว้สักครู่ ค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำอย่างนี้ทุกครั้งหลังสระผม

*ผลลัพธ์ที่ได้ ไม่เกิน 2 เดือน นอกจากปัญหาผมแตกปลายจะหายไป ยังทำให้ผมดกดำ แถมไม่เป็นรังแคอีกด้วย

*นำเคล็ดลับนี้ไปลองทำดูนะค่ะ ^^

2552/10/07

เตือนภัย : โรคที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์

รู้มั้ย...โรคที่อาจเกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์มีอะไรบ้างนะ?

สำหรับคน ที่ชอบเล่นคอมพิวเตอร์หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้คอมพิวเตอร์อยู่เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ อาจจะต้องเผชิญกับโรคที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายทั้งทางตรงและทางอ้อมมากมากหลายโรค


โรคแรกที่มักจะพบกันบ่อยๆ แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ตัวก็คือ 'โรค Cumulative Trauma Disorders' (ความผิดปกติจากอุบัติภัยสะสม) อาการของโรคจะค่อยเป็นค่อยไป จะมีอาการปวดคอ ไหล่ ข้อมือ และหลัง ผู้ที่เป็นมากๆ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการชาที่มือ อาการของโรคพวกนี้แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรกเป็นแล้วหายเมื่อได้พัก ระยะสองคือ มีอาการต่อเนื่องถึงกลางคืน และหายเมื่อได้พัก ระยะสามคือ เป็นตลอดเวลาไม่หายเมื่อได้พัก การรักษาคือ ต้องปรับพฤติกรรมการทำงานของตนเองก่อน หรือถ้าเป็นมากควรปรึกษาแพทย์ และควรเล่าประวัติการทำงาน ให้แพทย์ทราบสาเหตุที่แท้จริง แพทย์จึงจะรักษาเจาะจงเฉพาะที่ได้

โรคนี้มีความคล้ายกับโรคจากการทำงานซ้ำซาก ซึ่งนักกายภาพบำบัดอธิบายว่า พบมากในผู้ที่ทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน มักจะมีอาการชาข้อมือ หรือที่เรียกว่า กลุ่มอาการอุโมงค์ข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) เกิดเนื่องจากการใช้งานซ้ำๆ ที่บริเวณข้อมือ ทำให้เอ็นรอบๆ ข้อมือหนาตัวขึ้นแล้วไปกดเส้นประสาทที่วิ่งผ่าน ทำให้เกิดอาการชาและเจ็บได้ ซึ่งการรักษานอกจากทางกายภาพ โดยใช้ความร้อนทำให้บริเวณที่จับหนาตัวขึ้นนิ่มลงและยืดมันออก ทำให้อุโมงค์ที่เส้นประสาทลอดผ่านขยายตัวได้ แต่ถ้าผู้ที่เป็นมากๆ จะมีอาการชาจนกระทั่งกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงไป การผ่าตัดคือ วิธีรักษาที่ดีที่สุด


ส่วนโรคต่อมาชื่อโรคนั้นอาจจะดูแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว … 'โรคทนรอไม่ได้' (Hurry Sickness) มักจะเกิดกับผู้ที่เล่นอินเทอร์เน็ต ที่ทำให้กลายเป็นคนขี้เบื่อ หงุดหงิดง่าย ใจร้อน เครียดง่าย เช่น ทนรอเครื่องดาวน์โหลดนานๆ ไม่ได้ กระวนกระวาย หากมีอาการมากๆ ก็จะเข้าข่ายโรคประสาทได้ ท่านจึงควรปรับเปลี่ยนลักษณะงาน และพยายามควบคุมอารมณ์ตนเองไว้บ้าง มิฉะนั้นท่านจะเป็นคนที่เสียทั้งงานและเสียทั้งเพื่อนได้

'โรคภูมิแพ้' สำหรับโรคนี้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสตอก โฮล์ม ในสวีเดนพบว่า สารเคมีจากจอคอมพิวเตอร์ ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ สารนี้มีชื่อว่า Triphenyl Phosphate ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในจอวิดีโอ และคอมพิวเตอร์ สามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เช่น คัน คัดจมูก และปวดศีรษะ ผลวิจัยพบว่า เมื่อจอคอมพิวเตอร์ร้อนขึ้นจะปล่อยสารเคมีดังกล่าวออกมา โดยเฉพาะหากสภาพภายในห้องทำงานที่มีเนื้อที่จำกัด เครื่องคอมพิวเตอร์อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ ดังนั้น อากาศที่ดีจึงจำเป็นอย่างยิ่ง


ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่ากิจกรรมที่เรามองว่าเป็นกิจกรรมที่ผ่อนคลายความเครียดจะมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของเราขนาดนี้ สำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์บ่อยๆ คงต้องระวังซะแล้วล่ะค่ะ

2552/10/02

ประโยชน์ของพริกป่น

เพื่อนๆหลายๆคนคงรับประทานพริกป่นกันบ่อยๆใช่ไหมคะ หลายๆคนอาจจะรู้ถึงโทษของพริกป่นแล้ว แต่เคยรู้หรือไม่ว่าพริกป่นก็มือมีประโยชน์เหมือนกันนะคะ วันนี้เกวจึงนำเรื่องนี้มาฝากค่ะ ลองอ่านดูนะคะ...

1. ในพริกป่นมีทั้งรสและกลิ่นเผ็ดร้อนที่ช่วยให้เกิดอาการตื่นตัว ซึ่งส่วนประกอบในพริกทีทำเรารู้สึกอย่างนั้นก็คือ capsaicin

2. มีการศึกษาพบว่า capsaicin ในพริกมีความสามารถในการกำจัดเซลล์มะเร็ง โดยไม่ทำลายเซลล์ดีภายในร่างกาย ซึ่งอีกไม่นานจะมีการแนะนำให้ใช้ capsaicin ในการรักษามะเร็ง นับเป็นการบำบัดแบบใหม่ที่มีทิศทางที่ดีในอนาคต

3. พริกป่นมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ของกล้ามเนื้อหลังได้ดี คุณสามารถบำบัดอาการปวดเมื่อย ได้ที่บ้านด้วยการใช้พริกป่นใส่ลงในอาหารที่รับประทาน

4. พริกป่นช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติหลังจากมื้ออาหารที่คุณตัดลดคาร์โบไฮเดรตลงไป เพราะฉะนั้นจึงมีการศึกษาเพื่อจะใช้พริกป่นมาช่วยในการบำบัดรักษาโรคอ้วนอยู่ในขณะนี้

5. ส่วนผสมอันดับหนึ่งที่ช่วยในการทำความสะอาด หรือดีท็อกซ์ร่างกายก็คือพริกป่น เพราะในพริกป่นมีสารที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการทำความสะอาดร่างกายด้วยตัวเอง ทั้งยังช่วยยับยั้งเมือกที่จับอยู่ภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ด้วย

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ต้องหาอาหารแซบด้วยพริกป่น มารับประทานกันบ้างนะคะ แต่ว่าอย่ารับประทานบ่อยมากเกินไป เพราะพริกป่นก็มีข้อเสียเหมือนกันค่ะ ^______^