2552/11/28

ลูกเต๋า! คุณรู้หรือยัง ?


นี้คือลูกเต๋าทั่วไปที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี



เพราะต้องเคยทอยแล้วลุ้นให้หมุนมาตกในด้านที่มีแต้มสูงๆ แล้ว เคยทราบหรือสืบความเป็นมา ของสิ่งที่เราคิดว่าเที่ยงตรงและใช้มาตัดสินการแข่งขันเนี่ย มันเป็นมาอย่างไร ?

ลูกเต๋าทั่วไปจะมี 6 หน้า มีแต้มตั้งแต่ 1 ไปจนถึง 6 ส่วนใหญ่จะใช้จำนวนจุดแทนค่าของแต้มบนหน้าลูกเต๋า โดยผลรวมของหน้าตรงข้ามจะเป็น 7 เสมอ

ลูกเต๋าไม่ได้มี 6 หน้าเสมอไป ?ลูกเต๋าที่ไม่ได้มี 6 หน้าเรียกว่า 'ลูกเต๋าทรงหลายหน้า' และลูกเต๋าบางลูกมีถึง 20 หน้า !! ลูกเต๋าทรงหลายหน้า เป็นลูกเต๋าที่อาจมีหน้ามากกว่หรือน้อยกว่าหกด้าน ซึ่งเคยใช้ในการทำนายดวงชะตาและในพิธีเกี่ยวกับไสยศาสตร์

ไม่มีใครรู้ว่าลูกเต๋าลูกแรกผลิตจากอะไร แต่ลูกเต๋าที่พบในปัจจุบันส่วนใหญ่ผลิตจากพลาสติก แต่บางครั้งเราอาจเห็นลูกเต๋าที่ทำจากวัสดุแปลกๆ อย่างโลหะ ไม้ หิน หรือแม้แต่อัญมณี ลูกเต๋าในสมัยก่อนผลิตจากพลาสติกอ่อนซึ่งสึกหรอง่าย เมื่อใช้ไปนานๆ ขอบและมุมจะเริ่มโค้งมน ทำให้มีผลต่อการออกผลลัพธ์ ลูกเต๋าที่ดีจะใช้พลาสติกที่หนา แข็งแรงทนทาน สามารถใช้ได้หลายปีโดยไม่พบการสึกหรอ

การทอยลูกเต๋าแต่ละครั้งเกี่ยวข้องกับความน่าจะเป็นในหลักคณิตศาสตร์ แม้จะใช้หลักความน่าจะเป็นในการอธิบายการออกผลลัพธ์หรือด้านแต่ละด้านของลูกเต๋า แต่ลูกเต๋าแต่ละลูกจะมีความเที่ยงตรงไม่เท่ากัน รวมถึงในการทำสัญลักษณ์เพื่อกำหนดแต้มของลูกเต๋าแต่ละด้าน หากใช้วิธีทำให้หน้าของลูกเต๋าเป็นหลุมตามจำนวนแต้มแล้วใส่สีเข้าไป จะมีผลต่อการถ่วงน้ำหนัก เพราะวัตถุในแต่ละด้านจะไม่เท่ากัน ทำให้ความน่าจะเป็นที่ให้ผลลัพท์ในแต่ละครั้งคลาดเคลื่อนได้

Lou Zocchi เจ้าของบริษัท Gamescience ให้ความสำคัญกับลูกเต๋าที่ผลิตจากโรงงานมาก โดยรับประกันว่าลูกเต๋าของเขาไม่มีการถ่วง ยุติธรรมและไม่สึกหรอง่ายเหมือนลูกเต๋าบริษัทอื่น ลูกเต๋าที่ใช้ในคาสิโนจะมีความเที่ยงตรงมากกว่าลูกเต๋าทั่วไปที่เราใช้เล่นเกม คาสิโนที่มีชื่อนิยมใช้ลูกเต๋าอะคริลิคใสซึ่งยากแก่การถ่วงน้ำหนัก ทำใหความน่าจะเป็นที่จะได้ผลลัพธ์ต่างๆ มีความเที่ยงตรงมากขึ้น

การรับประทานไข่


ไข่เป็นอาหารดีมีประโยชน์ที่หาง่ายที่สุด เก็บง่ายที่สุด ปรุงง่ายที่สุด ราคาไม่แพงซึ่งทุกๆ คนก็สามารถ หากินได้แถมย่อยง่าย อุดมด้วยโปรตีน วิตามินเอ บี ดี และธาตุเหล็ก รวมทั้งแคลเซียม กินได้ทั้งเด็ก และ ผู้ใหญ่ ทำได้ทั้งคาวและหวาน

คนจีนถือว่าไข่เป็นของนำโชค ที่ต้องมีการต้มแจกเมื่อได้สมาชิกใหม่ในครอบครัว เพราะไข่เป็นทั้งหยิน และหยางในลูกเดียว มีทั้งด้านมืด ด้านสว่าง ทั้งเย็นและร้อน

ฝรั่งบอกว่าไข่เป็นอาหารที่ให้โปรตีนอย่างยอดเยี่ยมภายในลูกเดียว กันนี่แหละ

ทางอายุรเวทบอกว่า ไข่เป็นอาหารไม่หนักไปสำหรับร่างกาย และให้ไขมันที่ดี
ไข่จึงเป็นอาหารจานเด่นมาตลอด จนระยะหลังๆ นี้ที่เราเริ่มจะได้ยินอะไรที่ทำให้ชักไม่ค่อยไว้ใจไข่ พวกที่ชอบค้นคว้าวิจัยก็แยกเอาไข่แดงไข่ขาวไปวิจัยว่า ไข่ขาวนั้นเป็นตัวให้โปรตีนดีมาก แต่ไข่แดงมี ไขมันสูง กินไปแล้วจะทำให้ระดับไขมันในเลือดสูงได้ อาจเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ ต้องเดือดร้อนหาหมอ


คราวนี้พวกบ้าจี้ หรือกลัวตายทั้งหลาย ก็เลยตั้งหน้ากินไข่แบบไม่ เป็นธรรมชาติกัน คือมีการบรรจงเอา ช้อนแคะไข่แดงออกจากไข่ดาว แล้วกินไข่ขาวล้วนๆ หรือปอกไข่ต้มแล้วละเลียดกินไข่ขาว ทิ้งไข่แดงไปเสีย บางคนหนักเข้าก็เอาแต่ไข่ขาวแยกออกมาตีๆๆ แล้วทำไข่เจียวหน้าตาซีดเซียวกิน แต่พวกนี้เวลากินขนมเค้ก ก็มักจะลืมว่าเขาต้องใส่ไข่ทั้งแดงและขาวเข้าไปมากๆ แถมด้วยนมเนยที่เป็นตัวเพิ่มไขมันยิ่งกว่า

2552/11/27

7 คำถามควรรู้ก่อนใส่ คอนแทคเลนส์


7 คำถามควรรู้ก่อนใส่คอนแทคเลนส์ (ชีวจิต)

ใครหลาย ๆ คนที่กำลังตัดสินใจเปลี่ยนจากการใช้แว่นสายตา หันมาใช้คอนแทคเลนส์ รวมทั้งผู้ใส่คอนแทคเลนส์อยู่เป็นประจำ อาจมีข้อสงสัยที่ยังรอคำตอบเกี่ยวกับคอนแทคเลนส์ วันนี้เรามีเรื่องน่ารู้ก่อนตัดสินใจใช้คอนแทคเลนส์จากศูนย์ดวงตา สภากาชาดไทย มาฝากค่ะ

คำถามที่ 1 คอนแทคเลนส์มีอันตรายต่อดวงตาของผู้ใช้ได้หรือไม่
ตอบ มีแน่นอนค่ะ เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่ละเอียดอ่อน ถ้าคิดที่จะใช้ ควรจะได้รับการตรวจดวงตาจากจักษุแพทย์ก่อน เพื่อดูว่ามีโรคตาที่เป็นข้อห้ามในการใช้คอนแทคเลนส์หรือไม่ เลนส์ที่ใช้อยู่เหมาะสมกับดวงตาหรือไม่ เช่น เลนส์นั้นมีความโค้งเข้ากับความโค้งของกระจกตาคุณหรือเปล่า ถ้าคับหรือหลวมไปอาจเป็นอันตรายได้ หรือน้ำตาของคุณมีเพียงพอสำหรับใช้เลนส์ชนิดใด เช่น ถ้าน้ำตาค่อนข้างน้อยควรใช้เลนส์ชนิดแข็ง เป็นต้น

คำถามที่ 2 คอนแทคเลนส์ชนิดใส่ครั้งเดียวทิ้ง มีคุณสมบัติดีกว่าแบบใส่เป็นปีจริงหรือไม่
ตอบ ไม่เสมอไป การเปลี่ยนบ่อย ๆ ข้อดีคือได้เลนส์ที่สะอาด กำจัดปัญหาที่เกิดจากเลนส์สกปรก เช่น ระคายตา ตาอักเสบ หรือตามัว เลนส์ชนิดนี้เป็นเลนส์ที่ใส่นอนได้ เลยมักเป็นเลนส์ที่อมน้ำมาก หรือบางมาก เพื่อให้ออกซิเจนผ่านไปที่กระจกตาได้ดี ซึ่งจะแห้งเร็วและไม่ค่อยคงรูปในขณะใส่ ทำให้ความชัดของภาพที่เห็นเปลี่ยนแปลงขณะกะพริบตา โดยเฉพาะในรายที่มีสายตาเอียงมาก

คำถามที่ 3 การใช้คอนแทคเลนส์ จะป้องกันสายตาไม่ให้ผิดปกติเพิ่มขึ้นได้จริงหรือไม่
ตอบ ไม่จริง ยกเว้นบางรายที่ใช้เลนส์ชนิดแข็ง หรือครึ่งแข็งครึ่งนิ่ม (Gas Permeable Lens) สายตาอาจไม่เปลี่ยนแปลงหรือลดลงเล็กน้อยได้ เนื่องจากความโค้งของกระจกตาเปลี่ยนไป

คำถามที่ 4 คอนแทคเลนส์ทำให้ดวงตาติดเชื้อโรคได้หรือเปล่า
ตอบ คอนแทคเลนส์ที่สกปรก เนื่องจากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องสามารถทำให้ติดเชื้อได้ ดังนั้นก่อนนำไปใช้ทุกครั้งจะต้องแช่เลนส์ไว้ในน้ำยาอย่างน้อย 5-6 ชั่วโมง หรือแช่ทิ้งไว้ตลอดคืนจะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ และห้ามนำเลนส์ไปแช่ในน้ำเกลือโดยเด็ดขาด นอกจากนั้นผู้ใช้ควรปิดตลับ และขวดน้ำยาให้เรียบร้อยก่อนที่จะไปล้างมือด้วย สบู่ เพื่อป้องกันการปนเปื้อน ส่วนตลับใส่เลนส์ควรล้างด้วยสบู่และลวกน้ำร้อนทุกเดือน และควรเปลี่ยนตลับบ่อย ๆ หรือทุก 6 เดือน

คำถามที่ 5 ถ้าเข้าใกล้เตาไฟร้อน ๆ คอนแทคเลนส์จะละลายได้หรือไม่
ตอบ ไม่

คำถามที่ 6 จะรู้ได้อย่างไรว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้วหลังจากใส่คอนแทคเลนส์
ตอบ ถ้าใส่เลนส์แล้วมีอาการระคายเคือง เจ็บ น้ำตาไหล ตามัว หรือตาแดง สิ่งเหล่านี้ถ้าเกิดขึ้น ต้องหยุดใช้เลนส์ทันที และควรพบจักษุแพทย์โดยด่วน

คำถามที่ 7 ทำไมบางครั้งเมื่อใส่คอนแทคเลนส์ไปนาน ๆ หรือใส่นอนข้ามคืน จึงเห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ
ตอบ ที่เป็นเช่นนั้น เกิดจากการใช้เลนส์นานเกินไป ควรให้จักษุแพทย์ตรวจดูว่าเลนส์นั้นเหมาะกับตาของคุณหรือไม่ หรืออาจเกิดจากกระจกตาบวม เนื่องจากมีออกซิเจนไปถึงกระจกตาไม่เพียงพอ ทั้งนี้เป็นเพราะเลนส์ที่ใช้เป็นชนิดที่ใส่ตอนนอนหลับไม่ได้ แต่คุณยังทำ หรืออาจเกิดจากเลนส์สกปรก หรือเลนส์หมดอายุ


ข้อดีของคอนแทคเลนส์ นอกจากจะเพิ่มความสะดวกสบายและเสริมบุคลิกที่ดีแล้ว อย่าลืมเติมความใส่ใจให้กับความสะอาดและการดูแลที่ดีอีกสักนิด เพื่อถนอมดวงตาคู่สวยให้อยู่กับคุณตลอดไป

2552/11/25

พลาสติก/โฟม ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย

ภาชนะบรรจุอาหารพลาสติกเหล่านี้อาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างคาดไม่ถึง หากไม่ตระหนักและเพิ่มความระมัดระวังในการเลือกใช้ ซึ่งอาจเกิดการปนเปื้อนสารอันตรายลงสู่อาหาร หรือเกิด ปฏิกิริยาเคมีระหว่างอาหารและภาชนะบรรจุ การเลือกใช้พลาสติก หรือโฟมต้องเลือกใช้ชนิดที่ไม่ทำปฏิกิริยากับอาหาร และเหมาะสมกับการใช้งาน


1. สไตรีน (Styrene) ผลต่อร่างกายคือเมื่อถูกผิวหนังหรือเข้าตาจะทำให้ระคายเคือง หากสูดดมเข้าไปจะมีอาการไอ และหายใจลำบาก เพราะไปทำให้เยื่อเมือกเกิดความระคายเคือง ปวดศีรษะ ง่วงซึม อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลระบุความเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่เกิดมะเร็งได้ในสัตว์ทดลอง อันตราย

ที่เกิดจากสารเคมีของภาชนะบรรจุอาหาร มักไม่ได้รับความสนใจหรือเพิกเฉย เนื่องจากไม่ได้เกิดในทันทีทันใด แต่จะค่อยๆ สะสมจนเกิดอันตราย อาทิเช่น กล่องโฟมที่นำมาบรรจุอาหารที่ทอดร้อนๆ และมีน้ำมันขึ้นจากเตาใหม่ๆ จำพวกข้าวผัด ข้าวกะเพราไข่ดาว ผัดไทย หอยทอด ซึ่งมีคุณสมบัติที่สามารถละลายสารบางชนิดออกจากกล่องโฟม และปนเปื้อนสู่อาหารได้ กล่องโฟมโดยปกติเมื่อได้รับความร้อนที่อุณหภูมิสูงประมาณ 160๐-220๐C จะทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์และมีการปล่อยสารโมเลกุลใหญ่ หรือสารประกอบบางชนิดออกมา อาจมีสารพิษที่มีผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาว และสารบางอย่างจะสะสมในร่างกายก่อให้เกิดมะเร็งได้ ในกล่องโฟม (โพลิสไตรีน ; Polystyrene) เมื่อได้รับความร้อนสูงจะให้สาร
2 ชนิดคือ

2. เบนซิน (Benzene) สารที่มีความเป็นพิษสูงและเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งอาการของผู้ที่ได้รับเบนซินเข้าไปคือในระยะแรกๆ จะเกิดอาการวิงเวียน คลื่นไส้ ถ้าดื่มหรือทานอาหารที่มีเบนซินปนเปื้อนอยู่สูง จะทำให้มีอาการปวดท้องเนื่องจากกระเพาะถูกกัดกร่อน เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ง่วงนอน ชัก หัวใจเต้นแรง และอาจเสียชีวิตได้ เมื่อหายใจเอาเบนซินเข้าไปในระดับสูงและเป็นเวลานานอาจทำให้เซื่องซึม วิงเวียน หมดสติและใจสั่น อาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ และเมื่อสูดดมเป็นเวลานานจะทำให้เป็น โรคมะเร็งเม็ดเลือด (Leukemia) ได้การได้รับเบนซินเป็นเวลานานจะมีผลทำให้เป็น โรคโลหิตจาง (Anemia) เนื่องจากเบนซินจะเข้าไปทำลายไขกระดูก ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้จำนวนเม็ดเลือดลดลงและทำลายระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายได้


นอกจากเบนซินและสไตรีนแล้ว ยังมี สารไวนิลคลอไรด์ (Vinylchloride) ที่ปนเปื้อนในพลาสติกพีวีซี ซึ่งสารตกค้างของไวนิลคลอไรด์อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งตับได้ และ สารไดออกซิน (Dioxin) ซึ่งพบในพลาสติกบางประเภท ไดออกซินเป็นสารก่อมะเร็งในปอด กระเพาะอาหาร ตับ ต่อมน้ำเหลือง และผิวหนัง มีผลต่อระบบการสืบพันธุ์ ในเพศชายทำให้มีตัวอสุจิน้อยลง ส่วนเพศหญิงรังไข่และมดลูกจะผิดปกติ ซึ่งทารกที่เกิดจากหญิงที่ได้รับสารชนิดนี้ในปริมาณมาก มีความเสี่ยงต่อความผิดปกติในวัยแรกเกิดด้วย

กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 92 พ.ศ.2528 และฉบับที่ 111 พ.ศ.2531 เรื่อง กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของภาชนะบรรจุ การใช้ภาชนะบรรจุและการห้ามใช้วัตถุใดๆ เป็นภาชนะบรรจุอาหาร และเรื่องกำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของภาชนะบรรจุพลาสติก และการใช้ภาชนะบรรจุพลาสติกและการห้ามใช้วัตถุใดเป็นภาชนะบรรจุอาหารตามลำดับ ซึ่งกล่องโฟม (Polystyrene) มีการกำหนดปริมาณตะกั่วและสารระเหยกลุ่มเบนซินและสไตรีนไว้ด้วยเพื่อควบคุมคุณภาพของพลาสติก แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ผลิตกล่องโฟมบางคนที่อาจไม่สามารถผลิตโฟมได้ตามมาตรฐานและยังมีการจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดในปัจจุบัน เพื่อความปลอดภัยของการบริโภค เราควรแยกชนิดของกล่องโฟมที่ใช้ให้ถูกต้องกับชนิดของอาหารเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเป็นพิษนั้น

ดังนั้น การใช้ภาชนะบรรจุอาหารพลาสติกหรือโฟม จึงควรเลือกให้เหมาะกับการใช้งานและประเภทของอาหาร เพราะการใช้ภาชนะบรรจุอาหารผิดประเภทอาจอันตราย เนื่องจากสารพิษเจือปนจากภาชนะได้ ซึ่งหากมีการสะสมเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ ภาชนะบรรจุอาหารที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีหลายประเภท ซึ่งมีหลักในการเลือกใช้เพื่อลดอันตราย ดังนี้


ภาชนะพลาสติก การใช้ภาชนะพลาสติกบรรจุอาหารควรเลือกชนิดของพลาสติกให้เหมาะกับชนิดของอาหาร เช่น ไม่ควรใช้ภาชนะพลาสติกบรรจุอาหารที่เป็นกรด เช่น นํ้าส้มสายชู เพราะกรดจากนํ้าส้มสายชูอาจทําปฏิกิริยากับภาชนะพลาสติกได้ จึงควรใช้ภาชนะที่ทําจากวัตถุที่ทนความเป็นกรดและด่างได้ เช่น ภาชนะสเตนเลสจะปลอดภัยกว่า นอกจากนี้ไม่ควรใช้ภาชนะพลาสติกบรรจุอาหารที่ร้อนจัดหรือมีความมันมากๆ เมื่อใช้ใส่อาหารร้อนๆ โดยเฉพาะนํ้าร้อนเดือด ความร้อนจะทําให้สีจากภาชนะละลายปนออกมา ทำให้ร่างกายได้รับโลหะหนัก เช่น ปรอท ตะกั่ว สารหนูและแคดเมียม เข้าสู่ร่างกายของเรา อาจจะเป็นสาเหตุของความผิดปกติของระบบต่างๆ ในร่างกายและโรคมะเร็ง
ถุงร้อน เป็นภาชนะที่นิยมใช้มากที่สุดในการบรรจุอาหาร ถุงร้อนบางชนิดสามารถทนความร้อนได้ถึง 120 องศาเซลเซียส แต่อาหารทอดใหม่ ๆ อาจมีอุณหภูมิสูงกว่า ทําให้มีโอกาสที่จะมีการปนเปื้อนลงสู่อาหารได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ควรพักอาหารทอดให้คลายความร้อน ก่อนบรรจุใส่ถุง
ฟิล์มหรือถุงพลาสติกห่อหุ้มอาหาร การใช้ฟิล์มยืดปิดภาชนะระหว่างการอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟ สามารถเก็บความชื้น ช่วยให้อาหารร้อนเร็วขึ้นได้ แต่ไม่ควรใช้เพื่อทําให้อาหารสุกและควรระมัดระวังการใช้ฟิล์มยืด อย่าให้สัมผัสกับอาหารโดยตรง ควรห่างกันอย่างน้อยประมาณ 1 นิ้ว เพราะถ้าฟิล์มยืดสัมผัสกับอาหาร ฟิล์มยืดจะได้รับความร้อนสูงและอาจละลายติดอาหารที่จะรับประทานเข้าไปได้
ถุงหูหิ้วพลาสติก หรือถุงหูหิ้ว หรือที่เรียกจนติดปากว่า "ถุงก๊อบแก๊ป" ไม่เหมาะอย่างยิ่งสําหรับใส่อาหารโดยตรง เพราะถุงประเภทนี้ ส่วนใหญ่ผลิตจากเม็ดพลาสติกที่ได้จากการนํากลับมาใช้ใหม่ และคุณภาพไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ดังนั้นอาจเกิดอันตรายได้ถ้านํามาบรรจุอาหารที่ร้อนและมีไขมันสูง

สุดท้ายนี้ขอฝากเตือนใจในการเลือกใช้ภาชนะกล่องใส่อาหารพลาสติก / โฟม


"พลาสติกที่มีสีสันสดใส มีลักษณะขุ่น อาจเป็นการนำเอาพลาสติกเก่ามาหลอมทำใหม่ ไม่ควรนำมาใช้บรรจุอาหาร โดยเฉพาะกล่องโฟมที่ทำจากโพลีสไตรีน (Polystyrene ) ควรใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง"

2552/11/23

สุนัขแพงที่สุดในโลก Tibetan Mastiff


สุนัขอายุ 18 เดือน ตัวนี้ เป็นสุนัขที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก โดยมีเศรษฐีนีชาวจีนที่บ้าพลังซื้อสุนัขมาในราคาถึง 20 ล้านบาท ราคาน่าตกใจมากถึงมากที่สุด
โดยเจ้าตัวนี้เป็นสุนัขพันธุ์ทิเบทัน มาสทิฟฟ์ ซึ่งเจ้าของได้ตั้งชื่อใหม่ให้ว่า "แม่น้ำแยงซีเกียง ที่ 2" โดยเศรษฐีนีคนนี้ได้หาสุนัขคู่ใจมานานแสนนานแล้ว แต่ยังไม่ถูกใจสักที จนมาเจอเจ้าตัวนี้เข้าแถวชายแดน ทิเบต เธอยังกล่าวแบบภูมิใจในสุนัขของตนเองด้วยว่า "ทองคำ นั้นมีราคา แต่สุนัขตัวนี้ประเมินค่าไม่ได้" โอ้ว สุดยอดไปเลย
แน่นนอนว่าด้วยค่าตัวระดับโลกทั้งทีจะนำเข้าบ้านแบบธรรมดาได้ไง โดยมีขบวนรถเบนซ์จำนวน 30 คัน พร้อมด้วย คณะกรรมการของคนรักสุนัขท้องถิ่น ยืนถือป้ายแดงต้อนรับ เจ้าแยงซีเกียง ที่ 2 สำหรับสุนัขพันธุ์นี้ สามารถเติบโตได้สูงกว่า 3 ฟุต และมีน้ำหนัก มากกว่า 50 กิโลกรัม ชื่อเสียงของมันเป็นสัตว์เลี้ยงใน ประเทศจีน ได้รับการอบรมเป็นสุนัขคุ้มกันในภูเขาสูงของ ทิเบต และกลายเป็นสัญลักษณ์ของ เศรษฐี ในปัจจุบัน

2552/11/21

ไข่มุกทรงสมองคน 13 ลบ.


ไข่มุกยักษ์ที่ใหญ่ติดอันดับ 2 ของโลก มีน้ำหนัก 2.25 กก. กำลังนำขึ้นประมูลที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ ในนครลอสแองเจลิส คาดมีมูลค่าถึง 13 ล้านบาท ...

เอเอฟพีรายงานว่า สถาบันประมูล บอนแฮมส์ ในกรุงลอนดอนเผยเมื่อวันศุกร์ที่ 27 พ.ย.ว่า ไข่มุกยักษ์ที่ใหญ่ติดอันดับ 2 ของโลก กำลังนำขึ้นประมูลที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ ในนครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐฯ ในวันที่ 6 ธ.ค.นี้ คาดว่าราคาประมูลจะถีบสูงถึง 250,000 ปอนด์ (ราว 13.6ล้านบาท) ด้วยขนาดของไข่มุกซึ่งค้นพบนอกน่านน้ำของฟิลิปปินส์มีน้ำหนัก 2.25 กิโลกรัม วัดตามแนวขวางได้ 6 นิ้ว รูปทรงคล้ายสมองคน

ทั้งนี้ นายมิตช์ จาคูโบวิก ผอ.ผู้เชี่ยวชาญด้านเพชรพลอยวิทยา ประจำศูนย์ห้องแล็บ ยูโรเปี้ยน เจม ยูเอสเอ ในนครนิวยอร์คเผยว่า ถือเป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งในชีวิตกับสมบัติล้ำค่าที่แสนสุดวิเศษของธรรมชาติ อีกช้ินหนึ่งบนโลกนี้ ทั้งที่เคยมีปรากฏไข่มุกเม็ดเขื่องที่สุดในโลกซึ่งพบในหลายพื้นที่มาก่อน

2552/11/20

ประโยชน์ของกุยช่าย

ทราบหรือไม่ว่าผักกุยช่ายมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้เรามีเรื่องนี้มาบอก...


- แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และแก้ท้องผูก โดยใช้ใบสดตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำไปผัดรับประทาน เพราะกุยช่าย มีใยอาหารมาก จึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี

- แก้อาการฟกช้ำ โดยใช้ใบสดตำละเอียด แล้วพอกบริเวณที่มีอาการ เพื่อบรรเทาปวดและแก้อาการห้อเลือดได้

- แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย โดยใช้เมล็ดแห้งต้มรับประทาน หรือจะทำเป็นยาเม็ดรับประทานก็ได้

- รักษาโรคหูน้ำหนวก โดยใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดทาในรูหู

-บำรุงน้ำนม คนไทยโบราณเชื่อว่า แม่ลูกอ่อนกินแกงเลียงใส่ผักกุยช่าย จะช่วยบำรุงน้ำนมได้ดี

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานผักกุยช่ายกันดีกว่า.

2552/11/19

ภาพฝนดาวตก Leonid

มีภาพฝนดาวตกมาให้ดูกันจ้า

สำหรับบางคนที่อาจจะพลาดโอกาศนี้ไป เพราะ กำลังนอนหลับเพลินไปหน่อย ^o^



v v v v v v v
v v v v v v
v v v v v
v v v v
v v v
v v
v






2552/11/16

วิธีชม...ฝนดาวตกลีโอนิดส์

นักดาราศาสตร์ประมาณการโอกาสเห็นฝนดาวตกลีโอนิดส์ในไทยสูงสุดช่วงเวลาราว 04.43 น.ของเช้าวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ อัตราความชุกที่ 100-500 ดวงต่อชั่วโมง!

นับเป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ ซึ่ง ฝนดาวตก ดูสวยงาม น่าสนใจ น่าตื่นเต้น และดูได้ง่ายด้วยตาเปล่า ท้าทายการศึกษา เรียนรู้และเข้าใจเรื่องของธรรมชาติเพิ่ม

สาเหตุของการเกิดฝนดาวตก เกิดจากดาวหางซึ่งเป็นก้อนน้ำแข็งที่ประกอบด้วยฝุ่นหินเกาะกลุ่มกันจำนวนมาก เมื่อโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ก้อนน้ำแข็งจะเกิดการระเหิด ทิ้งแนวฝุ่นหินเป็นสายธารยาว เมื่อโลกโคจรเข้าไปตัดกับสายธารดังกล่าวนี้ เศษฝุ่นหินก็จะเคลื่อนตัววิ่งเข้ามาในบรรยากาศของโลกด้วยความเร็วสูง และเกิดการเสียดสีจนลุกไหม้ปรากฏเป็นขีดแสงสว่างให้เราเห็น ที่เราเรียกว่า "ฝนดาวตก"

กรณี ฝนดาวตกลีโอนิดส์ หรือฝนดาวตกกลุ่มดาวสิงโตนี้ เกิดจากการที่โลกโคจรผ่านเข้าไปในซากสายธารฝุ่นหินของดาวหาง 55 พี เทมเพล-ทัดเทิล ที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งโดยปกติ คาบการโคจรของดาวหางดวงนี้คือ 33.2 ปี ซึ่งในปีที่ครบรอบคาบการโคจรของดาวหาง เป็นการมาเติมเศษฝุ่นหินให้มากยิ่งขึ้น และเมื่อโลกโคจรผ่านเข้าไปในใจกลางสายธารของมัน ในปีนั้นโอกาสจะเกิดฝนดาวตกก็จะมีมากกว่าปีปกติ อย่างที่เราเรียกว่าปรากฏการณ์ "พายุฝนดาวตก"

จากบันทึกในอดีต ดังตัวอย่างใน ค.ศ.1966 ที่ฮาวาย ได้เกิดพายุฝนดาวตกที่มีอัตราการตกมากถึง 5-6 หมื่นดวงต่อชั่วโมง สำหรับชื่อของฝนดาวตกลีโอนิดส์ ก็มาจากการอ้างอิงกับแหล่งการเกิด คือ กลุ่มดาวสิงโต นั่นเอง คือแม้เราจะเห็นฝนดาวตกในทิศทางต่างๆ กัน แต่เมื่อเราลองลากเส้นย้อนกลับไปยังแหล่งการเกิดแล้ว ฝนดาวตกทุกดวงจะมาจากกลุ่มดาวสิงโต

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) อธิบายว่า ช่วงวันที่ 17-18 พฤศจิกายน แม้ไม่ใช่รอบปีของการเกิดพายุฝนดาวตกลีโอนิดส์ แต่จะมีโอกาสเห็นฝนดาวตกในอัตราความชุกมากกว่าปีก่อนๆ เนื่องจากการคำนวณของนักดาศาสตร์หลายสำนัก พบว่า โลกจะโคจรตัดผ่านเศษซากสายธารฝุ่นหินของดาวหาง 55 พี เทมเพล-ทัดเทิล ถึงสองสายธารด้วยกัน ที่ทิ้งร่องรอยไว้ใน ค.ศ. 1466 และ 1533 โดยอัตราการตกราว 100-500 ดวงต่อชั่วโมง (อ้างอิงที่เมื่อกลุ่มดาวสิงโตมาอยู่ที่จุดกลางฟ้าเหนือศีรษะ) แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะเห็นฝนดาวตกตลอดทั้งชั่วโมง และจำนวนฝนดาวตกที่เห็นก็ไม่ได้เห็นมากถึง 500 ดวง ตัวอย่างเช่น อัตราการตกที่ 400 ดวงต่อชั่วโมง เราเห็นแค่ช่วงเวลา 15 นาที นั่นคือ ในช่วงชั่วโมงนั้น เราจะเห็นดาวตกประมาณ 100 ดวง ซึ่งก็ถือว่ามากแล้ว"

ช่วงเวลาที่ประเทศไทยจะมีโอกาสเห็นฝนดาวตกสูงสุดในครั้งนี้ ดร.ศรัณย์ชี้ชัดว่า ตั้งแต่ตีหนึ่งเป็นต้นไป แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว ดาวตกลูกสวยๆ มักจะมาตอนประมาณห้าทุ่ม เป็นเวลาที่กลุ่มดาวสิงโตเพิ่งขึ้นจากขอบฟ้า คือจะเห็นเป็นไฟร์บอลล์ (ดาวตกดวงใหญ่) วิ่งพาดผ่านท้องฟ้าทิ้งร่องรอยให้เห็นเป็นลำสว่างทางยาวคล้ายรางรถไฟ ซึ่งความเร็วยังไม่สูงมาก ทำให้เราเห็นได้ง่าย สำหรับช่วงพีคสูงสุดของการตก นักดาศาสตร์หลายสำนักเห็นตรงกันว่า คือเป็นเวลาประมาณ 04.43 น. ตามเวลาในไทยของเช้าวันที่ 18 พฤศจิกายน อัตราความชุกที่ 100-500 ดวงต่อชั่วโมง ซึ่งช่วงนั้นจะป็นเวลาที่ดาวสิงโตจะอยู่บริเวณกลางฟ้าพอดี นับเป็นช่วงเวลาเหมาะแก่การชมมากกว่าประเทศอื่นๆ แต่ทั้งนี้ ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของโอกาส เพราะถึงเวลาจริง เราอาจจะเห็นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็เป็นได้

เพื่อให้ได้อรรถรสของการชมปรากฏการณ์ฝนดาวตกลีโอนิดส์ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา รังสิต ร่วมกับศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย ชวนเยาวชน ผู้สนใจสังเกตการณ์ ฝนดาวตกลีโอนิดส์ วันที่ 17 พฤศจิกายน เวลา 18.00 น. ถึงรุ่งเช้าวันที่ 18 พฤศจิกายน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ หรือจะชมการแสดงในท้องฟ้าจำลอง เรื่อง "ฝนดาวตก" และชมภาพยนตร์ด้านวิทยาศาสตร์อวกาศ เรื่อง "องค์ประกอบชีวิต" (ภาพยนตร์ที่ฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์) จัดแสดงและฉายในงานนี้โดยเฉพาะ อีกทั้งได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์อีกมากมาย สอบถามโทร.08-1571-1292 หรือ 0-2564-7000 ต่อ 1460

ฝนดาวตก เป็นความสวยงาม และเป็นแรงบันดาลใจให้คนจำนวนมาก ได้เรียนรู้ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์อื่นๆ ตามมามากมาย อย่างน้อย รู้ว่าจะศึกษาฝุ่นละอองรอบๆ ดวงอาทิตย์ ศึกษาวัตถุที่อยู่รอบๆ โลกว่ามีอะไรบ้าง" ทำให้เรารู้เพิ่มขึ้น

วิธีดูที่ดีที่สุดคือ การนอนหงายมองไปที่กลางฟ้าเหนือศีรษะ ฝนดาวตกมีลักษณะแสงสว่างวาบ เคลื่อนที่ผ่านอย่างรวดเร็ว จะพุ่งมาจากทุกทิศทาง มีสีสันสวยงาม เช่น สีน้ำเงินเขียว สีส้มเหลือง เพราะมีแร่ธาตุประกอบต่างๆ กัน เช่น แมกเนเซียม ทองแดง เหล็ก จึงให้สีที่แตกต่างกัน ปลายของดาวตกซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ จะทิ้งควันจางๆ เหมือนไอพ่น หากอยู่ในที่เงียบสงบ บางครั้งอาจได้ยินเสียงด้วย เรียกว่า โซนิกบูม และหากเป็นดาวตกขนาดใหญ่เมื่อเสียดสีกับบรรยากาศ



ที่มา นสพ.มติชน

2552/11/14

สิวบอกอารมณ์และโรคร้าย

ตำแหน่งสิว บนผิวหน้า บ่งบอกอารมณ์และโรคร้ายได้อย่างคาดไม่ถึง


สีหน้าและแววตา ใช้สื่อถึงความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ ได้ แต่ผิวหน้าของคนเราก็สามารถสื่อถึงสุขภาพภายในร่างกายได้เหมือนกัน

วิธีการสังเกตถึงสุขภาพภายในร่างกายของเราหรือของคนใกล้ตัวเรานั้น ด้วยศาสตร์ใหม่จากการวิเคราะห์สภาพผิว Face Mapping กระบวนการพิสูจน์และวิเคราะห์สภาพผิวด้วยศาสตร์ตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในปรัชญาความคิดเบื้องต้นที่ว่า "ผิวหน้าสามารถบ่งบอกได้ถึงสุขภาพภายในร่างกายที่มีผลกระทบต่อผิวพรรณ" ทำให้เข้าใจได้ถึงสาเหตุการเกิดปัญหาสุขภาพผิว

ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผิว จากศูนย์สุขภาพผิวเลียวนาร์ด เดรก ได้นำเสนอแนวทางการป้องกันโดยมีหลักในการวิเคราะห์สภาพผิวแบบ Face Mapping นั้นจะเป็นการวิเคราะห์สภาพผิวที่ละเอียดกว่าการวิเคราะห์ผิวโดยทั่วไป โดยแบ่งส่วนใบหน้า ลำคอ และแผ่นอกออกเป็น 4 โซน


โซนที่ 1 และโซนที่ 3 ถ้ามีปัญหาสิวบริเวณนี้ คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ดังนั้นอาจต้องดื่มน้ำมากขึ้นหรือทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

โซนที่ 2 สิวบริเวณหว่างคิ้ว เกี่ยวกับตับ อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้) การทานอาหารรสจัดหรือทานอาหารดึกเกินไป

โซนที่ 4 และโซนที่ 10 ผิวบริเวณหูนี้เป็นผลพวงของไต หากรู้สึกร้อนที่หู คุณอาจต้องลดการรับประทานเนื้อสัตว์ลง

โซนที่ 5 และโซนที่ 9 บริเวณแก้มทั้งสองด้าน โดยแก้มส่วนบนจะเกี่ยวข้องกับไซนัสและปอด ส่วนแก้มส่วนล่าง เหงือกและฟัน สาเหตุอาจเป็นเพราะสูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด

โซนที่ 6 และโซนที่ 8 ตำแหน่งรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับไต และปัญหาภูมิแพ้ สาเหตุมาจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ อาจไม่เหมาะสม หรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคือง อาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร

โซนที่ 7 ผิวบริเวณจมูกและริมฝีปาก แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หากมีสิวบริเวณนี้อาจหมายถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ การมีประจำเดือน การรับประทานยาคุมกำเนิด โซนที่ 11 และโซนที่ 13 หากผิวบริเวณนี้แตกระแหง สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาของฟันกราม หรือปัญหาเกี่ยวกับฟัน

โซนที่ 12 สิวเรื่อๆ บริเวณคางนี้ สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องลำไส้เล็ก ที่มีผลจากการรับประทานของเผ็ด

โซนสุดท้ายโซนที่ 14 หากคุณมีสิวบริเวณนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณกำลังเครียดสูง


นี่เป็นเพียงแค่รายละเอียดเพียงเล็กน้อยของการวิเคราะห์สภาพผิวหน้าที่ทำให้รู้ได้ถึงสุขภาพภายในร่างกาย ซึ่งจะทำให้เราทราบได้ว่าจะต้องดูแลบำรุงทั้งสุขภาพภายในและภายนอกอย่างไร เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแค่นี้คุณก็จะมีทั้งสีหน้า แววตาและผิวพรรณที่เป็นสุขได้แล้ว

2552/11/13

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับครีมกันแดด

อากาศร้อน และแดดแรง อย่างประเทศไทย ครีมกันแดดจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพผิว เมื่อต้องเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับตัวเอง มองดูฉลากข้างกล่องแล้วก็มีศัพท์ที่น่าสนใจ ให้เราต้องเลือกดังนี้

1. "SPF" ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าในการชี้วัดว่าเราสามารถ อยู่กลางแสงแดดได้นานแค่ไหน โดยที่ไม่รู้สึกร้อนหรือแสบบริเวณผิว เช่น ถ้าเรามีผิวที่แพ้แสงแดดและแสบร้อนง่ายในเวลา 20 นาที ครีมกันแดดที่มี SPF 15 จะช่วยปกป้องเราจากแสงแดดได้นาน 15 เท่า และเมื่ออยู่กลางแดดมากๆ ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงขึ้น

2. "Waterproof" แม้จะเขียนว่า Waterproof (กันน้ำ) แต่ก็ไม่สามารถกันน้ำได้ 100% ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลต้องทาครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง โดยทาซ้ำทุกครั้งที่เหงื่อออก หรือทุกครั้งในช่วงพักว่ายน้ำ

3. "UVA และ UVB" ถ้าเขียนไว้ว่า.. มี UVA หมายถึง ครีมกันแดดนั้น มีคุณสมบัติ ป้องกันกระ ฝ้า และป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย แต่ถ้าเขียนไว้ว่า..
มี UVB หมายถึง ครีมกันแดดนั้นมีคุณสมบัติ ป้องกันอาการแพ้ แดง แสบ และไหม้ของผิวหนัง

หวังว่า..จะเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับตัวเองได้ดีขึ้น

ส่วนเทคนิคในการใช้งานครีมกันแดดที่ต้องจำไว้ให้แม่นๆ ก็คือ ครีมกันแดด ไม่สามารถป้องกันแสงแดดได้ 100% ดังนั้น เมื่อต้องออกแดด เช่น เล่นกีฬากลางแจ้ง ควรสวมแว่นกันแดด หรือหมวกกันแดดจะป้องกันได้มากขึ้น ส่วนการทาผิวควรเกลี่ยครีมให้เรียบเสมอ และทาให้ทั่วบริเวณที่ต้องการปกป้องจากแดด เพื่อป้องกันผิวด่างดำเฉพาะที่ และเลิกใช้ทันที ถ้ามีอาการแพ้ มีผื่นแดง และคัน






2552/11/12

โยเกิร์ต มีประโยชน์มากมาย

โยเกิร์ต เป็นอาหารที่ดูดีมีชาติตระกูล เหมาะกับสาวรุ่นใหม่อย่างเราเป็นที่สุด แต่เบื้องหลังหน้าตาสวยใส โยเกิร์ตยังมีความลับที่คุณอาจยังไม่รู้




คนที่ท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตเกิดมาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย

โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดก็เป็นตัวแม่สำหรับร่างกายทั้งนั้น อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำถึงได้อายุยืนแถมแข็งแรง

ถึงแม้จะทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้ชิลๆ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้

จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ

แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะทำให้เป็นสาวกระดูกเหล็ก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้คุณผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย

ทำให้ปากสะอาด กำราบกลิ่นปากและโรคเหงือก \เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น


การทาน โยเกิร์ต ที่ได้ผลที่สุดควรจะทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่มีการแต่งกลิ่นแต่งรสเพิ่มน้ำตาลลงไป แต่ถ้าไม่ชอบความเปรี้ยวของมัน จะเอาไปทานแทนมายองเนสหรือปั่นรวมกับผลไม้ให้เป็นน้ำผลไม้อร่อยๆ ก็เป็นไอเดียที่ดี