2553/08/28

เรื่องน่ารู้ ที่อาจจะยังไม่รู้*

เรื่องน่าจะรู้ (ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้) มากันในแนววิทยาศาสตร์ พร้อมกับอธิบายรายละเอียดอย่างเสร็จสรรพ ใครอยากรู้เพิ่มมาอ่านกันได้


จระเข้น้ำตาไหลตอนกินอาหารจริงหรือ ?

ระบบประสาทของต่อมน้ำตาและต่อมน้ำลายของจระเข้ทำงานร่วมกัน ทำให้เวลากินเหยื่อการทำงานของต่อมน้ำลายจะไปกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำตา จระเข้จึงมีน้ำตาไหลออกมา


เพศของลูกเต่าเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิจริงหรือ ?

อุณหภูมิเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดเพศของเต่าว่า จะเป็น เพศผู้หรือเพศเมีย หากสถานที่ฝักไข่อยู่ในจุดรับแดด ไข่จะออกมาเป็นเพศเมีย หากสถานที่ร่มเย็นไข่จะออกมาเป็นเพศผู้

เด็กดีดอทคอม :: เรื่องน่ารู้ ที่อาจจะยังไม่รู้


เวลาเลือดกำเดาไหล ให้เงยหน้าถูกหรือไม่ ?

เวลเลือดกำเดาไหลอย่าตกใจให้นั่งนิ่งๆ จากนั้นก้มหัวไปข้างหน้าเล็กน้อย บีบรูจมูกทั้งสองข้างเบาๆประมาณ 5-10 นาที เพื่อห้ามเลือด ห้ามเงยหน้า ไม่งั้นเลือดอาจไหลลงคอ จากนั้นให้ใช้ผ้าประคบน้ำแข็งวางไว้ที่ดั้งจมูกเพื่อให้เลือดแข็งตัว ถ้า 30 นาทียังไม่หยุดไหลให้รีบไปโรงพยาบาล


ถ้าสะอึกแล้วกลั้นหายใจ จะหายไหม ?

แก้สะอึกให้ลองหายใจลึกๆหรือทุบที่หลังเบาๆเพื่อกระตุ้นระบบประสาท วิธีนี้อาจทำให้อาการสะอึกหายไปได้ ไม่อย่างนั้นอาจลองหายใจออกยาวๆหรือเกร็งหน้าท้องเบาๆก็ได้ (การกลั้นหายใจยาวๆอาจส่งผลเสียอย่างอื่น)

เครดิค : เรื่องน่ารู้ไลฟ์สไตล์ เว็บไซต์เด็กดีดอทคอ

2553/08/26

สุนัขที่สูงที่สุดในโลก*

Dogilike.com :: "จอร์จ" น้องหมาที่ตัวสูงที่สุดในโลก

จอร์จ น้องหมาพันธุ์ เกรทเดน จากรัฐอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ถูกบันทึกลงใน กินเนสบุ๊ค เรียบร้อยแล้ว ในฐานะของ น้องหมาที่สูงที่สุดในโลก เท่าที่เคยมีมา

คุณเครก เกรนเดย์ หัวหน้าบรรณาธิการของกินเนสต์ เวิลด์ เรคคอดส์ ได้บอกไว้ว่า มันเป็นประเด็นที่ร้อนแรงมากที่สุด หลังจากการโต้เถียงกัน เราจึงตัดสินใจว่าเราจะส่งเจ้าหน้าที่ไปทำการบันทึกครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายของเรื่องนี้แล้ว ดังนั้น เราจึงกล่าวได้เลยว่า จอร์จคือสุนัขที่เรียกได้ว่าเป็นที่สุดเลย

คุณเดฟ เนสสัน เจ้าของน้องหมายักษ์ตัวนี้ บอกว่า ปริมาณอาหารที่จอร์จกินต่อเดือนนั้น หนักถึง 110 ปอนด์หรือเกือบ 50 กิโลกรัม และนอนบนเตียงใหญ่ขนาด Queen Size หรือประมาณ 60 นิ้ว x 80 นิ้วเลย

เวลายืน ถ้าวัดจากเท้ามาถึงไหล่ จอร์จจะสูงถึง 1.09 เมตร และมีน้ำหนักถึง 111 กิโลกรัมเลยทีเดียว

Dogilike.com :: "จอร์จ" น้องหมาที่ตัวสูงที่สุดในโลก

และเจ้าจอร์จตัวนี้ ยังเคยได้ออกรายการโทรทัศน์ชื่อดังของประเทศสหรัฐอเมริกา (The Oprah Winfrey Show) มาแล้วด้วย แล้วก็ยังมีเว็บไซต์ของตัวเองอย่าง เฟสบุ๊คและทวิสเตอร์อีกด้วย

Dogilike.com :: "จอร์จ" น้องหมาที่ตัวสูงที่สุดในโลก

ตอนนี้เจ้าจอร์จมีอายุ 4 ปีแล้ว และเขาได้ลงกินเนสต์บุ๊ค ด้วยการทำลายสถิติเดิมที่เคยเป็นของเจ้าไททัน สุนัขพันธุ์เกรดเดน เหมือนกัน แต่อยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยความสูงที่มากกว่าเพียง 0.75 นิ้ว เท่านั้น ดังนั้น ตอนนี้เจ้าจอร์จจึงกลายเป็นเจ้าของสถิติถึง 2 ตำแหน่ง คือ น้องหมาที่ตัวสูงที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ และยังพ่วงตำแหน่ง สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาอีกด้ว

2553/08/24

Sart Chin Day

While Thailand is not a particularly cosmopolitan country, it does possess a large number of peoples of various descent, including a large number of Chinese, Indian, as well as Mon and other minority groups who form part of the nation, while accommodating or blending many of these peoples' various traditions and beliefs.


One of the biggest influences in Thailand is Chinese, since a large number of people are descendants of merchants from China who settled in the country after trading with the kingdom over several centuries. These early settlers brought with them many beliefs, ceremonies, and influences from their home countries, such as lunar worship and other activities related to astral forces.

But of all the ceremonies marked by the country's Chinese or Thai-Chinese residents, the one I personally find most interesting is the Ghost Festival, which is held on the 15th night of the seventh lunar month (following the Chinese calendar).

Sart Chin Day and Sart Chin Month, which feature the words used in Thai to describe the Ghost Festival, usually fall sometime between August and September on the Georgian calendar. Last year (2009), Sart Chin month was celebrated during August 1-30, whereas this year it falls during August 19-September 18.

'Roaming' holiday
It is widely believed that on Sart Chin Day, the three realms of Heaven, Hell and the Earth open up for a whole month so that spirits can roam the earth in search of food and entertainment. These ghosts are thought to be Chinese ancestors, including ones who did not receive a proper send off after passing away. In light of such beliefs, it is also thought to be the best period for people to pay their respects to the dearly departed.

As well as organizing food offering ceremonies to pay homage to the spirits of their ancestors, which are typically held at home, people also participate in a ceremony called Ting Krachad ('Throw the basket away'), which is organized at Chinese temples, shrines or within the compounds of charitable organizations.

While there are several different tales and beliefs that are said to have brought about this ceremony, the ceremony itself tends to vary little from shrine to shrine. The core concepts are to make merit and share this merit with the spirits of the departed, while distributing food and other necessities for those in the community who are in need.

On the first day of the 7th month in the Chinese lunar calendar, Chinese temples and charitable organizations invite people to donate food or money by placing the offerings in flat bamboo trays. Sometimes a bamboo or rattan hat is used instead of a tray, which represents a house providing shade for its residents.

During this period, people also prepare offerings of food, incense, and representations of many materialistic items common in day to day life made from paper, such as cars, gold, houses, and even cellphones! These paper items are eventually set alight during the ceremony as a way of sending them on to the wandering ancestral spirits.


The big day

On Sart Chin Day, people will take offerings of food during the morning to temples or shrines and place them on tables prepared for this purpose as a way of pleasing the spirits. During this period, religious ceremonies are organized so people can pay their respects to their departed ancestors, as well as other 'wandering spirits' in the hope that they won't intrude into the real world, bringing with them bad luck.

2553/08/22

6วิธี บริหารสายตา เวลาอ่านหนังสือดึกๆ


ท่า1
กรอกลูกตาไปซ้ายสุด และก็ไปทางขวาสุด สัก 10 รอบ


ท่า2
กรอกลูกตาขึ้น บน ล่าง 10 รอบเช่นกัน


ท่า3
กลอกลูกตาไปในทิศ ปลายคิ้วขวา (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ)
แล้วก็กลอก เลือกไปที่แก้ม ซ้าย (ทิศตะวันออกเฉียงใต้)
10 รอบ


ท่า4
ทำเหมือน กับท่า3 แต่อีกด้านหนึ่ง


ท่า5
กลอกลูกตาหมุนเป็นวงกลม ซ้าย-ขวา 10 รอบ


ท่า6
หลับตาทั้งสอง ข้าง แล้วเอานิ้วชื้ วางเหนือหัว
คิ้ว ค่อยๆ กดและนวดรอบดวงตา

2553/08/19

ไซลิทอล’ตัวช่วยป้องกันฟันผุ


ชื่อของ “ไซลิทอล” เป็นที่คุ้นหูอยู่ในแวดวงของคนรักปากและฟันมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะเวลานี้ไม่ว่าผลิตภัณฑ์อะไรที่เกี่ยวกับสุขภาพปากและฟันจะมีชื่อของสารตัวนี้ร่วมอยู่ด้วยเสมอ แล้วไซลิทอลมีประโยชน์อย่างไร
ดร.ท.ญ.สร้อยศิริ ทวีบูรณ์อาจารย์ประจำคณะทันตแพทยศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสารไซลิทอลให้ข้อมูลว่าสารไซลิทอลเริ่มเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะในทวีปยุโรปและอเมริกา เพราะมีการค้นคว้าวิจัยถึงประสิทธิภาพของไซลิทอลที่สามารถยับยั้งแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ฟันผุได้ ปัจจุบันมีการนำสารไซลิทอล มาใช้เป็นส่วนประกอบของยาน้ำยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปากหลายชนิด นอกจากนี้ ยังใช้เป็นสารให้ความหวานในขนมลูกอม รวมทั้งหมากฝรั่งกันมากขึ้น เพราะเป็นสารให้ความหวานธรรมชาติที่มีรสชาติคล้ายน้ำตาล และยังให้พลังงานต่ำกว่าถึงร้อยละ 40

สารไซลิทอลเป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ธรรมชาติชนิดหนึ่ง ซึ่งพบได้ในพืชผัก และผลไม้หลายชนิด อาทิ ต้นเบิร์ช สตรอว์เบอรี่รวมไปถึงผลไม้เปลือกแข็ง เช่น ถั่วเชสต์นัต และถั่ววอลนัต

จุดเด่นของสารชนิดนี้ คือ เป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ที่มีคาร์บอน 5 อะตอมในโครงสร้าง มีรสชาติหวานเหมือนน้ำตาล ซึ่งกลุ่มแบคทีเรียในช่องปากต้นเหตุสำคัญของการเกิดฟันผุไม่สามารถย่อยสลาย มาเป็นอาหารได้ ดังนั้นเมื่อไม่สามารถดึงไซลิทอลมาเป็นอาหารได้ แบคทีเรียกลุ่มนี้ก็จะค่อย ๆ ลดจำนวนลง จากการค้นคว้าวิจัยพบว่า การใช้ไซลิทอลเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจะสามารถช่วยลดปัญหาฟันผุได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม วิธีป้องกันฟันผุที่ดีที่สุด คือ การแปรงฟันอย่างถูกวิธีภายหลังการรับประทานอาหาร และหลีกเลี่ยงอาหารที่จะเพิ่มความเป็นกรดในช่องปาก เช่น น้ำตาล น้ำอัดลม ฯลฯ

เพียงแค่นี้…ฟันผุก็ จะไม่มากล้ำกราย…ให้เสียอารมณ์

2553/08/18

โรคจอประสาทตาเสื่อม กินปลาช่วยได้ !

ตั้งแต่ตอนเด็กๆ พ่อแม่ก็มักจะสอนเราเกี่ยวกับหลักโภชนาการเสมอว่า การกินปลาเยอะๆ จะทำให้ฉลาด เราก็เชื่อตามที่ถูกสอนมาแบบนั้น ซึ่งตามหลักโภชนาการแล้วปลาก็มีส่วนช่วยในการบำรุงสมองให้เราจริงๆและ การกินปลามากๆ นอกจากจะมีผลดีต่อสมองของเราแล้ว ยังมีส่วนช่วยลดความเสียงโรคจอประสาทตาเสื่อมได้อีกด้วย


ข้อมูลดังกล่าว ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ในบัลติมอร์ โดยถึงแม้ว่าผลการวิจัยนี้จะไม่ได้พิสูจน์ว่าการกินปลาลดความเสี่ยงในการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม (เอเอ็มดี) ได้ร้อยเปอร์เซ็น แต่บอนไนลิน เค. สวีเนอร์ นักวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้กล่าวว่า การค้นพบนี้ตอกย้ำงานวิจัยในอดีตที่แสดงให้เห็นว่า คนที่กินปลามีแนวโน้มมีอัตราการเป็นโรคเอเอ็มดีน้อยกว่าคนที่ไม่ค่อยกินปลา

งานศึกษาที่อยู่ในวารสารออปทัลโมโลจี้ยังสนับสนุนทฤษฎีที่ว่า กรดไขมันโอเมกา-3 ที่ส่วนใหญ่พบในปลาที่มีไขมันอย่างซัลมอน แมกเคอเรล และอัลบาคอร์ทูนานั้น อาจมีผลต่อพัฒนาการหรือความคืบหน้าของโรคเอเอ็มดีได้ ทั้งนี้ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการบ่งชี้ว่า อาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมกา-3 อาจลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเอเอ็มดีของผู้ป่วยบางคนได้ แต่จำเป็นต้องมีการวิจัยในเรื่องนี้เพิ่มเติม

โดยในการศึกษานี้ สวีเนอร์และทีมนักวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างอายุ 65 - 84 ปี ที่เข้ารับการตรวจสายตาและทำแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินอาหารอย่างละเอียด จำนวน 2,520 คน ซึ่งผลปรากฏว่ากลุ่มตัวอย่าง 15% มีอาการเอเอ็มดีระยะต้นหรือระยะกลาง แต่มีแค่ 3% อยู่ในขั้นรุนแรง ขณะที่คนที่กินปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งมีแนวโน้มมีอาการเอเอ็มดีขั้นรุนแรงน้อยกว่าคนที่กินปลาเฉลี่ยไม่ถึงสัปดาห์ละครั้งถึง 60%

เด็กดีดอทคอม :: โรคจอประสาทตาเสื่อม กินปลาช่วยได้

จากผลการวิจัยครั้งนี้ นักวิจัยไม่พบความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างการกินปลากับความเสี่ยงในการเป็นโรคเอเอ็มดีของกลุ่มตัวอย่าง แต่พบความเชื่อมโยงระหว่างการกินปลาที่มีกรดไขมันโอเมกา-3 สูง กับความเสี่ยงในการเป็นเอเอ็มดีขั้นรุนแรง

สำหรับโรคเอเอ็มดีเกิดจากเส้นเลือดหลังจอประสาทตาขยายผิดปกติ และเป็นสาเหตุหลักของอาการตาบอดในผู้สูงวัย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ แต่การบำบัดบางวิธีอาจช่วยป้องกันหรือชะลอการสูญเสียการมองเห็นขั้นรุนแรงได้

ถึงแม้ตอนนี้การหยุดยั้งความคืบหน้าของเอเอ็มดีด้วยปลาหรือโอเมกา-3 ยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถรับรองได้ชัดเจน แต่ขณะนี้กำลังมีการขยายผลรายงานของรัฐบาลสหรัฐอมริกา เพื่อค้นหาว่าการเพิ่มน้ำมันปลา และสารต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างลูทีนและซีแซนทีน ในอาหารเสริมดั้งเดิม จะทำให้ประโยชน์ในการต่อต้านเอเอ็มดีเพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งจะต้องติดตามผลในลำดับต่อไป

เด็กดีดอทคอม :: โรคจอประสาทตาเสื่อม กินปลาช่วยได้

เอาเป็นว่าถึงจะยังไม่ได้รับคำยืนยันร้อยเปอร์เซ็นว่าจะสามารถช่วยลดความเสียงโรคจอประสาทเสื่อมได้ แต่การกินปลามากๆ ก็เป็นผลดีต่อสุขภาพของเราในหลายๆ ด้าน แถมยังไม่อ้วนอีกด้วย คุณค่าทางสารอาหารก็ครบแถมรสชาติก็อร่อยเหอะแบบนี้ นี่ล่ะ อาหารจารเด็ดที่เต็มไปด้วยคุณภาพ


2553/08/16

โปรตีนสำหรับวัยรุ่น*


โปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ เพื่อการเจริญเติบโต
หรือชดเชยส่วนที่สูญเสียไป เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์และฮอร์โมนทุกชนิด เด็กวัยเรียน
และวัยรุ่นเป็นวัยที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงมีความต้องการโปรตีน
ที่มีคุณภาพดีในปริมาณมากพอสำหรับการเสริมสร้างการเจริญเติบโต โปรตีนที่ร่างกาย
ได้รับจากอาหารจะมีคุณภาพแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบ
ของโปรตีน ดังนั้น อาหารที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนครบถ้วน จัดเป็นอาหารที่มีโปรตีน
สมบูรณ์ ได้แก่ อาหารประเภท เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ และนม อาหารที่มีกรดอะมิโนไม่ครบ
ถ้วน จะจัดเป็นอาหารโปรตีนชนิดไม่สมบูรณ์ ได้แก่ ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง
ถั่วเขียว ถั่วแดงและถั่วดำ พืชผักต่างๆ และธัญพืช

ดังนั้น โปรตีนที่ควรบริโภคสำหรับวัยเรียนและวัยรุ่น ก็คือโปรตีนที่มาจากเนื้อสัตว์
ชนิดต่างๆ ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากอาหารเหล่านี้ และควรเลือก
บริโภคถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์จากถั่วเมล็ดแห้งบ้างเป็นบางมื้อ จะช่วยให้ร่างกาย
ได้รับโปรตีนเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย


2553/08/15

อาหารเช้ากับการเรียน*


คนส่วนใหญ่นิยมกินอาหารวันละ 3 มื้อ แต่บางคนอาจจะกินเพียงวันละ 2 มื้อ
หรือมากกว่านี้ ในคนที่กินอาหารเพียง 2 มื้อ มักจะงดเว้นมื้อเช้า ด้วยเหตุผลต่างๆ
กัน
เช่น ต้องตื่นแต่เช้าเร่งรีบไปเรียนหรือทำงาน ใช้เวลาในการเดินทางนาน ไม่มีเวลาพอ
สำหรับการเตรียมอาหารเช้า และบางคนงดกินอาหารเช้าด้วยเหตุผลที่ต้องการลด
น้ำหนัก การงดรับประทานอาหารมื้อเช้า จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม อาจทำให้ร่างกายได้รับ
พลังงานและสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เนื่องจากกระเพาะ
อาหารของคนเรามีขนาดความจุที่จำกัดสำหรับการกินอาหารแต่ละครั้งโดยเฉพาะ
ในเด็กวัยเรียนซึ่งมีขนาดของกระเพาะอาหารเล็กกว่าผู้ใหญ่ ในขณะที่ความต้องการ
พลังงานและสารอาหารต่อหน่วยน้ำหนักมากกว่าผู้ใหญ่
เนื่องจากเป็นวัยที่ยังมีการ
เจริญเติบโต จึงจำเป็นต้องกินอาหารอย่างน้อย 3 มื้อ


โดยปกติคนเราจะพักผ่อนด้วยการนอนหลับวันละประมาณ 8-12 ชั่วโมง ในช่วง
เวลานี้การใช้สารอาหารต่างๆ จะยังดำเนินไปตลอดเวลา ปริมาณสารอาหารต่างๆ
โดยเฉพาะระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงหลังจากที่เราพักผ่อนนอนหลับ จึงจำเป็นต้อง
กินอาหารเพื่อเพิ่มระดับสารอาหารในร่างกายให้อยู่ในสภาพปกติสำหรับการทำ
กิจกรรมต่อไป การงดไม่กินอาหารเช้าในเด็กนักเรียน ระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำจึงพบว่า
ในช่วงสายของวันเด็กจะรู้สึกหิว กระสับกระส่าย ไม่มีสมาธิในการเรียนขาดความฉับไว
ในการคิดคำนวณหรือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เกิดการผิดพลาดได้มากกว่า และผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนจะด้อยกว่าเด็กที่รับประทานอาหารเช้า ทั้งนี้เนื่องจาก สมองของคนเรา
ต้องการน้ำตาลกลูโคสเพื่อไปหล่อเลี้ยง นอกจากนี้เด็กจะไม่มีกำลัง สำหรับการเล่นกีฬา
หรือออกกำลังกายอีกด้วย อาหารเช้าจึงเป็นมื้อที่มีความสำคัญ ยิ่งสำหรับเด็กวัยเรียน
และวัยรุ่น อาหารเช้าที่เหมาะสมควรประกอบด้วยอาหารที่มีโปรตีนสูงพอควรทั้งนี้เพื่อ
คงสภาวะระดับน้ำตาลในเลือดของเด็กให้สูงอยู่เป็นเวลา ที่ยาวนาน จะทำให้เด็กมี
ความสามารถในการเรียนรู้และประกอบกิจกรรม ที่ต้องใช้กำลังงานได้ดีขึ้น


2553/08/10

อะไรคือสิ่งที่ฉุดรั้งเราจากความสำเร็จ*


ใคร ๆ ก็อยากประสบความสำเร็จกันทั้งนั้น เมื่อไม่สามารถหาความสำเร็จด้วยตัวเองได้
จึงต้องหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ โดยการพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น จึงได้เห็นผู้คนมากมายมากราบ
ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอพรด้วยประโยคซ้ำ ๆ ซาก ๆ คล้าย ๆ กัน แต่หลังจากที่ขอพรจากท่านแล้ว มี
สักกี่คนกันคะ ที่จะตั้งใจทำงานในหน้าที่ของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น หรือพัฒนาความสามารถของตนเองให้
สูงขึ้นจนกระทั่งประสบกับความสำเร็จที่คาดหวังไว้
หลายคนมักกล่าวอ้าง หรือโทษผู้อื่นว่า เป็นตัวการขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของตัวเอง ไม่ว่า
จะเป็นเจ้านายบ้าอำนาจ ลูกน้องขี้เกียจ เพื่อนร่วมงานตัวแสบ หรือ แม้แต่ลูกค้าเรื่องมาก ก็ถูกนำมา
เป็นข้ออ้างฉุดรั้งความก้าวหน้าของพวกเราได้ทั้งสิ้น

1. ความกลัว
บางคนมีความเคยชินกับสิ่งเดิมที่คุ้นเคย หรือเรียกว่าตกอยู่ใน comfort zone หรือติดหลุมสบาย
จนไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง คนที่ต้องการความสำเร็จต้องมีความกล้าที่จะ
เปลี่ยนแปลง เป็นผู้ที่สามารถดึงตัวเองขึ้นมาจาก comfort zone ได้ หากยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ ไม่
กล้าเปลี่ยนแปลงก็จะไม่สามารถพัฒนาหรือยกระดับความสามารถของตัวเองได้เลย ความกลัว
กับความกล้านั้นผูกติดกันเสมือนหน้ามือกับหลังมือ สุดท้ายจึงขึ้นอยู่กับคุณล่ะค่ะว่า จะเปิดใจให้
ความรู้สึกไหนขึ้นมาโชว์ตัว

2. ความอาย
มีคนมากมายที่พลาดโอกาสสำคัญของชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะไม่มั่นใจในตนเอง
และไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรค หรือสิ่งที่มาท้าทาย ยึดติดกับข้อมูลเก่า ๆ จนกลายเป็น
ข้อจำกัดของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่เป็นคนเก่ง และมีความสามารถมากมาย เมื่อไรก็แล้วแต่ที่คุณรู้สึก
เขินอายที่จะต้องลุกขึ้นมาทำสิ่งที่แปลกแตกต่างไปจากเดิม ให้บอกกับตัวเองไปเลยค่ะว่า หนึ่ง
สอง สาม เอ้า ลุย

3. ความคิดหรือความเชื่อ
ความคิดหรือความเชื่อที่ฝังใจก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่จะเป็นตัวปิดกั้นความสำเร็จของคุณ ทุกครั้งที่คุณ
พูดหรือคิดกับตัวเอง ก็เสมือนเป็นการโปรแกรมตัวเองให้มีความเข้าใจตามนั้น ดังนั้น เราจึงควร
พูดกับตัวเองบ่อย ๆ ด้วยคำพูดที่ดี และให้กำลังใจกับตัวเอง เพื่อให้เกิดความฮึกเหิม และเชื่อมั่น
ว่าเราจะต้องเอาชนะตัวเองและอุปสรรคต่าง ๆ ได้

2553/08/09

จมูก จมูก จมูก !!!*


โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์หู คอ จมูก รพ.กรุงเทพFind
Home About
Archive for the 'จมูกและโพรงอากาศไซนัส' Category
ยาพ่นจมูก
นพ.พีระ จิตตำนาน




โรคทางจมูกและไซนัสบางอย่าง อาจต้องใช้ยาพ่นจมูกช่วยในการรักษา เช่น โรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ

ชนิดของยาพ่นจมูกมีใช้อยู่ในปัจจุบัน

1. ยาที่มีผลให้หลอดเลือดใต้เยื่อบุจมูกยุบตัวลง มีผลให้จมูกหายใจได้โล่งขึ้น ยากลุ่มนี้มีประโยชน์ในกรณีที่คนไข้มีอาการคัดจมูกมากๆอย่างเฉียบพลัน เมื่อใช้แล้วจมูกจะโล่งขึ้นใน 3 – 5 นาที แต่ยานี้มีข้อเสีย คือ ถ้าใช้ต่อเนื่องนานกว่า 5 วัน จะมีผลทำให้มีการคัดจมูกเรื้อรังได้ (Rebound Nasal Congestion) จึงควรใช้เมื่อจำเป็นและเป็นช่วงสั้นๆ

2. ยาที่มีส่วนผสมของ Corticosteroid ยากลุ่มนี้เป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เพื่อรักษาอาการภูมิแพ้จมูกที่มี ไซนัสอักเสบร่วมด้วย หรืออาการภูมิแพ้จมูกที่มีอาการบ่อยๆตลอดปี ในกรณีของริดสีดวงจมูก (Nasal polyp) ก็สามารถใช้ยาพ่นกลุ่มนี้ควบคุมอาการได้

3. น้ำเกลือ Saline ใช้พ่นเพื่อให้ความชุ่มชื้นในจมูกและลดความหนืดของน้ำมูก

การพ่นจมูกในกรณีเป็นขวดสเปรย์

สั่งน้ำมูกถ้ามีน้ำมูกอยู่
ก้มศีรษะลงเล็กน้อย
สอดหัวพ่นยาเข้าในรูจมูกลึก ½ – 1 ซ.ม.
พ่นฉีดยากดแรงๆ ข้างละ 1- 2 ครั้ง จมูกซ้าย - ขวา
จมูกและโพรงอากาศไซนัส Comments(0)
ทำไมเวลาตากฝน แล้วถึงเป็นหวัด
นพ.สมศักดิ์ หวานกิจเจริญ April 30th, 2007

เคยสงสัยไหมครับว่า เวลาตากฝน โดยเฉพาะเวลาศีรษะเปียกฝน แล้ววันต่อมา เร่ิมมีอาการของหวัด เช่น มีอาการจาม คัดจมูก หรือมีน้ำมูก วันนี้ ผมมีคำอธิบาย และมีคำแนะนำเวลาตากฝน

โรคหวัด ก็คือโพรงจมูกอักเสบจากการติดเชื้อ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักจะเกิดจากไวรัส มีไวรัสเป็นร้อยชนิด ที่ทำให้เกิดไข้หวัดได้ ไวรัสเหล่านี้ กระจายฟุ้งอยู่ในอากาศ แล้วก็ตกลงอยู่ทีพื้น หรือเกาะอยู่ตามฝุ่น ไวรัสเหล่านี้ สามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน ในช่วงปกติ เราก็จะสัมผัสกัับไวรัสเหล่านี้อยู่บ้าง แต่เนื่องจากปริมาณมีไม่สูง รวมทั้งภูมิต้านทานของร่างกาย และสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เราจึงไม่เป็นโรคหวัด

ก่อนฝนตก มักจะมีกระแสลมที่แรง ลมเหล่านี้ จะพัดให้ไวรัสให้ฟุ้งกระจายปริมาณมาก หากเราอยู่ในบริเวณนั้น ก่อนฝนตก โอกาส ที่จะสัมผัสไวรัสในปริมาณมากก็มีมากขึ้น ดังนั้น พยายามอย่าอยู่ในที่โล่งแจ้้งโดยเฉพาะเวลาก่อนฝนตกนะครับ หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูก ในช่วงเวลานั้นก็ได้ครับ

หากเราตากฝน ศีรษะของเราก็จะเปียกฝน เชื้อโรคไม่ได้เข้าทางศีรษะนะครับ แต่การที่ศีรษะเปียกฝน จะมีผลทำให้อุณภูมิที่พื้นผิวของเยื่อบุจมูกลดต่ำลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิระดับนี้ เหมาะสมสำหรับการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสที่ตกค้างอยู่ในช่องจมูก ประกอบกับการสัมผัสเชื้อไวรัสปริมาณมากช่วงก่อนฝนตก ก็เลยทำให้มีไวรัสจำนวนมากบริเวณเยื่อบุจมูก ภูมิต้านทานของร่างกาย จึงไม่อาจต้านทานเชื้อเหล่านี้ได้อีกต่อไป ก็เลยเกิดการอักเสบของเยื่อบุจมูก เกิดอาการบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้คัดจมูก รวมทั้งเกิดการสร้างสารคัดหลั่งมากขึ้น ซึ่งก็คือน้ำมูก นั่นเอง หากเชื้อไวรัสลุกลามไปที่ลำคอ ก็จะทำให้เกิดคออักเสบตามมาได้

นอกจากศีรษะที่เปียกฝน ที่มีผลต่ออุณหภูมิในจมูกแล้ว อุณหภูมิบริเวณมือและเท้า ก็มีผลด้วยเช่นเดียวกัน การที่รองเท้าเราเปียกน้ำ และต้องแช่อยู่ในนั้นนานๆ ก็มีผลทำให้อุณภูมิในจมูกลดลง นำไปสู่อาการเป็นหวัดได้

วิธีการป้องกัน ไม่ให้เกิดหวัดเวลาศีรษะเปียกฝนก็คือ

หลบฝนในที่ร่มเสียก่อน รอจนฝนหยุด แล้วค่อยเดินทางต่อ
ใช้ร่มเพื่อบังศีรษะของเราไว้
หากศีรษะเปียกฝน รีบเช็ดให้แห้งเมื่อมีโอกาส ถ้าจะให้ดี สระผมไปเลยก็ได้ แล้วเช็ดหรือเป่าให้แห้งโดยเร็ว
รีบทำให้ร่างกายอบอุ่น
อาจแช่เท้าทั้งสองข้างในน้ำอุ่น เพื่อช่วยเปลี่ยนอุณภูมิที่พื้นผิวของจมูก ทำให้ไม่เหมาะต่อการแบ่งตัวของเชื้อโรค
รับประทานผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูงๆ เช่น ส้ม วิตามินซี จะช่วยเสริมสร้างเซลและเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป ช่วยป้องกันการเป็นหวัดได้
วิธีการง่ายๆ เหล่านี้ ก็ทำให้คุณไม่เป็นหวัดง่ายๆ ในหน้าฝนนี้


2553/08/07

ปลาสวรรค์กินมากอันตราย !


ปลาสวรรค์หรือปลาเส้นปรุงรส กินมากอันตราย เพราะมีปริมาณโซเดียมสูงมาก


ปลาสวรรค์หรือปลาเส้นปรุงรส ขนมขบเคี้ยวยอดฮิตในหมู่เด็กๆ และสาวๆ ซึ่งดูเหมือนเป็นขนมมีประโยชน์และมีโปรตีนสูงนั้น ที่จริงแล้วเต็มไปด้วย “โซเดียม” ที่สูงมากเกินความต้องการของร่ายกาย

ปลาสวรรค์หรือปลาเส้นปรุงรส เป็นอาหารว่างอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมรับประทานกันมาก โดยเฉพาะเด็กๆ และสาวๆ ที่กลัวอ้วนทั้งหลาย เพราะมีการโฆษณาโดยเน้นจุดขาย “ไขมัน ต่ำและโปรตีน สูง” แทนที่ขนมขบเคี้ยวประเภทอื่นๆ ซึ่งมีทั้งแป้ง น้ำตาลและไขมัน อย่างไรก็ตามปลาเส้นปรุงรสก็มีข้อด้อย คือการมีปริมาณ “โซเดียมสูง” จนน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะประเภทรสจัดจ้านหรือรสเข้มข้น ยิ่งมีโซเดียมสูงขึ้นไปอีก

ดังนั้น เมื่อจะบริโภคปลาเส้น เราไม่ควรประมาทควรลองพลิกดูฉลากด้านหลังซองเพื่อมองหาปริมาณโซเดียมสักนิด อย่างไรก็ตาม ฉลากของปลาเส้นบางยี่ห้อก็ไม่มีรายละเอียดเรื่องนี้ เพราะมีแต่วิธีรับประทานกับวิธีดัดแปลงเป็นอาหารประเภทต่างๆ เท่านั้น

เราจึงนำเราผลิตภัณฑ์ปลาเส้นปรุงรสยี่ห้อต่างๆ มาทดสอบหาปริมาณโซเดียมและปริมาณโปรตีน นอกจากนี้ ยังแถมการทดสอบ “ปลาหมึกปรุงรส” ให้ด้วย เพราะเป็นสินค้าประเภทเดียวกันและได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

ปลาเส้นทำมาจากอะไรกันแน่…

ปลาเส้นทำมาจากผลิตภัณฑ์ที่เรียก “ซูริมิ” ซึ่งก็คือ “เนื้อปลาทะเลบด” ที่ผ่านกระบวนการล้างน้ำ เพื่อแยกไขมันและส่วนประกอบที่ไม่ต้องการอื่นๆ ออกไป ให้เหลือแต่ “โปรตีน” ที่เรียกว่า “ไมโครไฟบริล” ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำให้เนื้อปลามีคุณสมบัติในการสร้างเจล ทั้งนี้ ซูริมิถูกนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อาหารหลายประเภท เช่น ปูอัด ลูกชิ้น ไส้กรอก ปลาเส้น เนื้อปลาเทียม หรือเนื้อกุ้งเทียม

ผลการทดสอบพบว่า…

- ปริมาณโซเดียมในปลาเส้นปรุงรสและปลาหมึกปรุงรส มีปริมาณสูงมากๆ ในทุกยี่ห้อ โดยปลาเส้น 30 กรัมจะมีโซเดียม 500-700 มิลลิกรัม โดยเฉพาะรสเข้มข้นจะมีโซเดียมสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะมีการปรุงแต่งรสด้วยผงชูรส หรือโมโนโซเดียมกลูตาเมตมากขึ้น

- มีปริมาณโปรตีนตามที่โฆษณา แต่ก็ไม่แตกต่างจากอาหารทั่วไปที่สามารถหารับประทานได้ง่ายและราคาไม่แพง เช่น นม ไข่ หรือแม้แต่ถั่วต้ม

คำ แนะนำจากเรา…

- ผลิตภัณฑ์ปลาเส้นอาจเป็นตัวเลือกสำหรับเด็กที่ติดขนมขบเคี้ยว เพราะมีปริมาณไขมันและน้ำตาลน้อยกว่า เมื่อเทียบกับขนมขบเคี้ยวทั่วไป แต่เด็กไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะมีปริมาณโซเดียมสูงมาก ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เนื่องจากเด็กไม่ควรได้รับ โซเดียมจากอาหารว่างเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน การที่บริโภคโซเดียมมาก จะทำให้ไตทำงานหนักและเสี่ยงต่อโรคความดันสูง

- ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับไตหรือหัวใจ ควรหลีกเลี่ยงหรือรับประทานแต่น้อย

- ควรซื้อครั้งละซองเล็กๆ เพราะหากซื้อซองใหญ่จะทำให้เผลอทานมากเกินไป

- ควรหาตัวเลือกอื่นๆ ถ้าต้องการแหล่งโปรตีนที่ดี เช่น นม ไข่ หรือถั่ว ที่มีราคาไม่แพงและมีปริมาณโปรตีนที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย


2553/08/06

ทำไมดวงจันทร์จึงส่องแสงในเวลากลางคืน


ดวงจันทร์ส่องแสงในเวลากลางคืน เนื่องจากดวงจันทร์ทำหน้าที่เหมือนกระจกเงาบานใหญ่สะท้อนแสง ที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์ ความจริงแล้วดวงจันทร์ไม่มีแสงในตัวเอง และไม่ได้สะท้อนแสงที่มาจากดวงอาทิตย์ เฉพาะแต่ในเวลากลางคืนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนแสงในเวลากลางวันด้วย แต่เนื่องจากแสงอาทิตย์นั้นสว่างมาก ในเวลากลางวัน จึงทำให้เรามองไม่เห็นดวงจันทร์ ทั้ง ๆ ที่ดวงจันทร์ก็ยังโคจรอยู่รอบโลกมิได้หายไปเลย


ทำไมดาวจึงกระพริบ


จริง ๆ แล้วดาวไม่ได้กะพริบ แต่ดูเหมือนกะพริบ เพราะเวลาที่เรามองดูดาวบนท้องฟ้า เราจะต้องมองผ่าน กลุ่มก๊าซและฝุ่นละอองที่ห่อหุ้มโลกอยู่ ก๊าซและฝุ่นเหล่านี้ทำให้เรามองเห็นดาวไม่ชัด เราจะเห็นดาวได้ชัดเจน เมื่อมองไปจากยอดเขาที่มีฝุ่นละอองในอากาศน้อย แต่ที่ที่ดีที่สุดที่จะมองเห็นดาวชัด ๆ คือ มองมาจากที่ที่ไม่มี อากาศและฝุ่นละออง คือมองมาจากนอกโลกนั่นเอง แต่ตอนนั้นเราจะไม่เห็นดาวกะพริบซะแล้ว

2553/08/05

9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์


1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำ หล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออกแต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดีคนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมันซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวมน้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้อง เกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จใน สิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่นกินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดีตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยาย

อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนตามเทคนิคง่ายๆ ทั้ง 9 ข้อนี้อาจจะไม่ทำให้เกิดอัจฉริยะข้ามคืนได้ เพราะต้องอาศัยระยะเวลาในการเรียนรู้ แต่สิ่งที่ได้ในเบื้องต้นคือการมีสุขภาพดีทั้งกายและใจแบบชนิดที่เรียกว่า "สวยทั้งภายในและภายนอก" อย่างแน่นอน