2553/12/23

Christmas*

Clickวันคริสต์มาส

คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส"(Mas)Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmasประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร


ความเป็นมาของวันคริสต์มาส

วันคริสต์มาสนั้นเป็นวันที่คนคริสเตียนฉลอง วันประสูติ ของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งงานรื่นเริง และฉลอง การมอบความรักให้แก่กัน วันแห่งครอบครัว และการร่วมกลุ่มกัน ในงานรื่นเริงนี้ถือว่า เป็นหัวใจสำคัญ ในการฉลองวันคริสต์มาส เรื่องราวที่เกี่ยวกับวันคริสต์มาส นั้นได้มีการกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิล โดยคำสอน ของ นักบุญ ลุกซ์ และนักบุญ แมททิว ในขณะที่เกิดพายุขึ้นมา โจเซฟและแมรี่ ได้พยายามหาที่กำบังพายุ จนกระทั่งมาถึงเมือง เบตธิวแฮม ได้พบกับเจ้าของโรงแรม ในเมืองนั้นแต่ไม่มีห้องวางเลย เขาจึงได้ให้ทั้งสองนั้น ไปพักอยู่ที่คอกสัตว์ และหลังจากนั้น พระเยซูก็ได้ประสูติ ได้มีดวงดาว ปรากฏขึ้นอยู่เหนือคอกสัตว์ ที่ทั้งสองนั้น ได้พักอยู่ ดวงดาวนี้เองที่เป็นแสงนำ ให้ผู้คนมายังพระเยซูน้อย. หลังจาก 12 วันหลังจากได้ประสูติแล้ว ได้มี พระราชา 3 องค์ประทานของขวัญ แก่ทารกนั้น


christmas_tree07.gifต้นคริสต์มาส..christmas_tree09.gif

ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้


Christmas_01.jpg

ซานตาคลอส เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา

ตามตำนาน บอกว่า Santa Claus ตัวจริงเป็นนักบวชชื่อว่า “St. Nicholas” ซึ่งในวันคริสต์มาสทุกปี เขาจะแจกของขวัญแก่เด็กๆ ต่อมาเมื่อ Hollywood มีความคิดที่จะสร้างหนังเกี่ยวกับ Christmas ก็เลยวาดภาพของ St. Nicholas ออกมาเป็น Santa Claus ที่นุ่งชุดสีแดง หนวดเคราสีขาว เป็นคนใจดี อาศัยอยู่ North Pole มีกวางแสนรู้ชื่อ “Rudolf” (อย่างที่เพลงร้องว่า Rudolf the red-nosed reindeer )

สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี



angle_santa.gifธรรมเนียมคริสต์มาสchristmas_box.gif

ในวัน Christmas Eve จะเป็นอีกวันหนึ่งที่ครอบครัวต่างมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เป็นธรรมดาก็ต้องมีงานเลี้ยงอย่างสนุกสนาม ตามธรรมเนียม (American family tradition) แล้วอาหารที่เลี้ยงในวัน Christmas นั้นจะมีหลักๆ คือ Roasted Ham (ใครชอบสูตรไหนก็ทำสูตรนั้น) แต่ต้องมีเค้กด้วยนะ เค้กนี้ถือเป็นเค้กวันเกิดให้กับพระเยซู (บ้านใครยังมีธรรมเนียมนี้อยู่บ้าง) เค้กในวัน Christmas จะเป็นสีขาวเท่านั้นเพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ของพระบุตร กุศโลบายของการทำเค้กก็คือ การถ่ายทอดเรื่องราวของพระเยซูแก่ลูกหลานที่มาช่วยกันทำเค้ก (เด็กๆ ชอบ).... Candy Cane ก็จัดว่าเป็นสัญลักษณ์ของ Christmas เหมือนกัน ที่ทำเป็นรูป cane นั้นก็เพื่อระลึกถึงคนเลี้ยงแกะนั่นเองค่ะ แต่กุศโลบายจริงๆ ของ candy cane คือ นักเทศน์ต้องการให้เด็กๆ ที่มาร่วมร้องเพลงในวัน Christmas อยู่ในความสงบ (ไม่งั้นคุยกัน เล่นกัน ตามประสาเด็ก) ก็เลยได้ไอเดียเอา candy cane มาแจก เด็กๆ ก็เลยง่วนอยู่กับการกินมากว่าเล่นน่ะ...ได้ผล...ตั้งแต่นั้นมา candy cane ก็เลยเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของ Christmas


santa_yahoo.gifchristmas_socks03.gif


2553/12/17

เทคนิค อร่อย เอ็นจอยอารมณ์






หลายคนอาจคุ้นเคยกับกิจกรรมการระบายอารมณ์ไม่ดีต่างๆ ด้วยการหาอะไรรับประทาน ทั้งๆ ทีรู้ดีว่าความอ้วนคือผลพลอยได้ที่จะตามมา แต่เมื่อวิธีนี้ยังคงเป็นหนทางสร้างความสุขสำหรับใครๆ การเลือกทานของดีมีประโยชน์เพื่อการผ่อนคลายอารมณ์อย่างฉลาด จึงเหมาะกับทุกคนที่ต้องการเฟิร์มหุ่นสวย พร้อมหัวใจแจ่มใสไว้ให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ

ผ่อนคลาย “ความเครียด”
นม การดื่มนมอุ่นๆ 1 แก้วก่อนนอนช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น เพราะแคลเซียมในนมช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ
ส้ม อุดมไปด้วยวิตามินซี จากงานวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ทานวิตามินซี 3,000 มิลลิกรัมจะรู้สึกลดความเครียดลง รวมถึงความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนความเครียดก็กลับสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น
กล้วย เวลาเครียด อัตราการเผาผลาญในร่างกายของเราจะสูงขึ้น และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วย จะช่วยให้เกิดความสมดุล และยังช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ
พริกขี้หนู รสเผ็ดของพริก ช่วยให้หายเครียดได้เพราะในพริกมีสาร “แคปไซซิน” ที่มีผลทำให้สมองหลั่งสาร “เอนโดฟิน” หรือสารแห่งความสุขออกมา
ผักโขม มีแม็กนีเซียมช่วยผ่อนคลาย ความว้าวุ่นใจ เหมาะสำหรับคนแอคทีฟที่อาจเข้าข่ายไฮเปอร์ ทานผักโขมสักนิดช่วยลดความหงุดหงิดได้
ปลาแซลมอน กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบมากในปลาแซลมอน ช่วยลดระดับฮอร์โมนเครียดที่ชื่อว่า “คอร์ติซอล” ที่เป็นต้นเหตุสำคัญต่อการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็งกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ยังหาทานได้จากไข่ นม โยเกิร์ต และถั่วเหลืองอีกด้วย
ถั่วอัลมอนด์ พิสตาชิโอ และวอลนัต อัลมอนด์ มีวิตามินบี ช่วยผ่อนคลายร่างกายในยามโศกเศร้า พิสตาชิโอ อุดมด้วยสารอูทีนและเบตาแคโรทีนซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนต์ ช่วยลดคอเลสเตอรอล โดยผลวิจัยว่าหากรับประทาน 3 มื้อต่อวัน จะช่วยลดความดันโลหิตและความตึงเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ เช่นเดียวกับการทานวอลนัต วันละหนึ่งกำมือ ที่มีสรรพคุณและให้ผลดังกล่าวเช่นกัน




ลดอาการ “ซึมเศร้า”
แป้งรสไม่หวาน ขนมปัง และข้าวทุกชนิด เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่มีส่วนกระตุ้นให้สมองหลั่งสารซิโรโทนิน ช่วยให้จิตใจสงบและลดอาการซึมเศร้า
ปวยเล้ง ผักอารมณ์ดี อุดมด้วย “กรดโฟลิก” ที่ช่วยสร้างเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงสมบูรณ์ การที่ร่างกายขาดกรดโฟลิก จะนำไปสู่การลดการหลั่งฮอร์โมนซิโรโทนิน ซึ่งก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า
กระเทียม สมุนไพรไทยที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ “เซเรเนียมไ ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น

ปรับอารมณ์ “เบื่อ เซ็ง เฉื่อย”
ถั่วเหลือง อุดมด้วยสารซิโรโทนิน ช่วยเพิ่มความตื่นตัว กระฉับกระเฉง และสารไดโทโรซิน ที่ช่วยเพิ่มสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ
ปลาทูน่า ช่วยเพิ่มความกระปรี้ประเปร่าและทำให้มีสมาธิภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังจากรับประทานเช่นเดียวกับการทานพาสต้าผสมซอสมะเขือเทศ

เลิก “เหงา” หยุด “วิตกกังวล”
ช็อคโกแลต ช่วยกระตุ้นให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนซิโรโทนิน และสารเอ็นโดฟินในร่างกาย ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีและยังช่วยลดความวิตกกังวล เพราะอุดมด้วยน้ำตาลที่มีความสัมพันธ์กันกับการเพิ่มขึ้นของสารซิโรโทนินและ เอ็นโดรฟิน

จากนี้ไป ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์แบบไหนก็หาความสุขได้จากรับประทานอาหารของดีมีประโยชน์ อย่างสบายอารมณ์แล้วจ้า แต่ความสุขจะอยู่กับเราได้ยั่งยืนที่สุด ก็ด้วยการปรับใจให้อยู่เย็น และเป็นสุขกับสิ่งที่มีและที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง


2553/12/08

ทุเรียนเทศ*


ชื่อวิทยาศาสตร์ Annona muricata L.
ชื่อวงศ์ ANNONACEAE
ชื่อสามัญ Sour Sop, Durian belanda, Guanabana
ชื่อไทยอื่นๆ ทุเรียนน้ำ (ภาคใต้), ทุเรียนแขก (ภาคกลาง), มะทุเรียน (ภาคเหนือ)
ทุเรียนเทศ เป็นไม้ผลเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกากลาง เริ่มแพร่กระจายไปสู่พื้นที่เขตร้อนทั่วโลกราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 และแพร่กระจายมายังประเทศฟิลิปปินส์รวมทั้งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนักเดินเรือชาวสเปน
ทุเรียนเทศเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ผลคล้ายทุเรียนสีเขียวสด แต่เปลือกไม่มีหนามแหลมและนิ่มเมื่อสุก ดอกมีกลิ่นหอมอมเปรี้ยวส่งกลิ่นหอมตั้งแต่ช่วงบ่าย เนื้อในผลมีรสหวานอมเปรี้ยวเป็นเส้นใยเกาะกันเหนียวแน่น



ผล ผลมีสีเขียวรูปกลมรี มีหนามนิ่มที่เปลือกผล ผลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 - 20 เซนติเมตร ยาว 15 - 30 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 0.5 – 3.0 กิโลกรัม ภายในมีเนื้อคล้ายน้อยโหน่ง สีขาว มีรสเปรี้ยว รสหวานเล็ก น้อย เนื้อจะไม่แยกแต่ละเมล็ดเป็นหนึ่งตาเหมือนน้อยหน่า ถ้าผลดิบมีรสอมเปรี้ยว และมีรส มันเล็กน้อย เมล็ดแก่สีน้ำตาลดำ หุ้มด้วยเนื้อสีขาว

การปลูก ทุเรียนเทศชอบดินร่วน มีความชุ่มชื้น ระบายน้ำได้ดี มีแสงแดดครึ่งวันถึงรำไร นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในบ้าน ในการปลูกเป็นการค้านิยมปลูกในประเทศมาเลเซีย โดยมีระยะปลูก 4 + 4 เมตร ให้ผลได้ในปีที่ 4 ได้ผลผลิตประมาณ 1.5 – 2 ตันต่อไร่ต่อปี

ประโยชน์ของทุเรียนเทศ นิยมนำมาประกอบเป็นอาหาร ในประเทศไทยนำผลแก่มารับประทาน ในภาคใต้นิยมนำผลอ่อนมาทำแกงส้มและเชื่อม ในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย นิยมนำผลอ่อนที่เมล็ดยังไม่แข็งมารับประทานเป็นผัก ผลแก่นำมาทำขนมหวาน เช่น นำเนื้อมาผสมในไอศกรีม เครื่องดื่มนมผสมผลไม้รวม เยลลี่ น้ำผลไม้ ในประเทศมาเลเซีย มีการทำน้ำทุเรียนเทศอัดกระปํอง ซึ่งได้รับความนิยมมาก เนื่องจากทุเรียนเทศประกอบด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน เอ วิตามิน ซี นำตาลและกรดอินทรีย์อีกหลายชนิด

สรรพคุณทางยาของทุเรียนเทศ ได้แก่ ผลสุกรับประทานแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน ผลดิบรับประทานแก้โรคบิด เมล็ดใช้สมานแผลห้ามเลือด ใช้เบื่อปลาและฆ่าแมลง ส่วนใบ ใช้รักษาโรคผิวหนัง แก้ไอ ปวดตามข้อ

2553/12/03

ซีอิ๊ว มีที่มาไม่ธรรมดาจริงๆ

ซีอิ๊ว โชหยุ แม็กกี้ ที่เราเอามาปรุงรสทุกวันนี้ มันมีที่มายังไงกันนะ อยากลองอ่านดู แล้วอาจจะภูมิใจในบรรพบุรุษของเราก็ได้

ซีอิ๊ว หรือภาษาอังกฤษเรียก Soy sauce เป็นซอสปรุงรสที่ใช้กันมากที่สุดในโลก วันนี้มาลองติดตามกันว่า ประเทศไหนเป็นต้นกำเนิด ซีอิ๊ว ประเทศไหนทำให้ ซีอิ๊ว แพร่หลายไปทั่วโลก

จุดเริ่มต้นของ ซีอิ๊ว แน่นอนว่าต้องอยู่ในประเทศจีนย้อนหลังไปกว่า 1 พันปี บริเวณตอนใต้ของจีนและภาคเหนือของไทย อ่านดูแล้วอาจจะยัง งงงวยอยู่ว่า ชื่อ ซีอิ๊ว มันภาษาจีนชัด ๆ จะมาเกี่ยวกับประเทศไทยไปได้อย่างไร

เชื่อหรือไม่ แรงบันดาลใจของ ซีอิ๊ว เกิดจาก "น้ำปลา" ครับ แต่โบราณแล้วที่จีนกับไทยมีการค้าขายกันในท้องถิ่นใกล้เคียง และทำให้ชาวจีนมีความคุ้นเคยกับ "น้ำปลา" ซอสที่เกิดจากการหมักเกลือกับปลาของไทยนี่แหละ ทำให้คนจีนสมัยนั้นเกิดความชอบและคิดจะนำไปเผยแพร่กับคนของตัวเองบ้าง ปัญหาติดอยู่ที่ว่า คนจีนทางตอนใต้นั้นส่วนใหญ่กินเจ เขาจึงต้องหาวัตถุดิบทดแทนเพื่อผลิตซอสให้สีและรสชาติใกล้เคียงน้ำปลาที่สุด มีหลักฐานว่า ระยะแรกของซีอิ๊วผลิตจากการหมักผักชนิดต่าง ๆ กับเกลือ ได้เป็นซีอิ๊วสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเทา จนกระทั่งมาเจอวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมสำหรับซอสในที่สุด ได้แก่ ถั่วเหลืองที่สมัยนั้นใช้หมักทำเต้าเจี้ยวนั่นเอง

Soy sauce - Fish sauce - Maggi sauce ???

ซีอิ๊วแพร่หลายในประเทศจีนเป็นอย่างมาก และขยายไปสู่ญี่ปุ่นโดยพระชาวญี่ปุ่นที่มาศึกษาพุทธศาสนาในประเทศจีน ได้นำสูตรการทำซีอิ๊ว และเต้าเจี้ยวไปใช้กับประเทศตัวเองบ้างในปี ค.ศ.1228 เริ่มแรกเขาเรียกเต้าเจี้ยวว่า misoและซีอิ๊วว่า tamari-shoyu ซึ่งต่อมากร่อนเหลือเพียง shoyu (โชหยุ)

ผิดกับในประเทศจีน โชหยุในญี่ปุ่นไม่ใช่ของแพร่หลาย หากแต่เป็นของแพงและหายาก มีใช้กันในชนชั้นสูง เช่น ซามุไร และ โชกุน สูตรและวิธีการผลิตโชหยุเป็นของหวงแหนในตระกูลและตกทอดกันมาตามรุ่นเท่านั้น โชหยุไม่มีการนำออกมาขาย และหาซื้อได้ตามร้านตลาดทั่วไป แต่ผลิตใช้กันในบ้าน (ปราสาท) ของตัวเอง โชหยุหรือ soy sauce ของญี่ปุ่นจึงมีความหลากหลายแตกต่างกันหลายร้อยชนิดตามแต่ละตระกูล

ถ้ายังจำได้เกี่ยวกับการปกครองของญี่ปุ่นที่ผู้มีอำนาจมากที่สุดในประเทศคือ ซามุไรผู้รวบรวมกำลังไพร่พลได้มากที่สุด และสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น โชกุน ดังนั้นโชกุนจึงมีการผลัดเปลี่ยนกันตามการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ในปี ค.ศ.1598อิเอยะสุ โตกุกาวา (Ieyasu Tokugawa คนเดียวกันในเรื่องอิคิวซัง) ต่อสู้รวบรวมอำนาจ และสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นโชกุนแทนตระกูล โตโยโตมิ(Toyotomi) โชกุนคนก่อน

ตระกูลมากิ (Maki) ซึ่งเป็นซามุไรใกล้ชิดและรับใช้ตระกูล โตโยโตมิ มานาน หัวหน้าของตระกูลจึงต้องทำฮาราคีรี ฆ่าตัวตายตามไป ภรรยาและลูกได้หลบหนีออกจากปราสาทของตระกูล และเปลี่ยนชื่อแซ่ตัวเองเป็น โมกิ (Mogi) เพื่อไม่ให้มีใครจำได้ เดินทางจากเมือง เอโดะ (Edo) ไปอาศัยยัง โนดะ (Noda) และเปิดกิจการผลิตและค้าขาย โชหยุ สูตรของตัวเองขึ้น

กิจการของตระกูลโมกิเจริญก้าวหน้าอย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่มีการผลิตและนำโชหยุออกขายให้ประชาชนทั่วไป ตระกูลโมกิกลายเป็นตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวย มีซามุไรหลายตระกูลนำโชหยุสูตรของตัวเองที่ผลิต ออกมาขายบ้างโดยเฉพาะในเมืองโนดะ มีการตั้งชมรมผู้ผลิตโชหยุขึ้น รวบรวมผู้ผลิตโชหยุกว่า 200 สูตร และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งบริษัทผลิตโชหยุหรือซีอิ๊วที่รู้จักกันดีไปทั่วโลกในชื่อ คิโคแมน (Kikkoman)

ราวปลายศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นเริ่มมีการเปิดประเทศค้าขาย Professor Lungeและ Langgardt นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน 2 คนที่ทำงานเป็นอาจารย์สอนใน Tokyo Imperial University เดินทางไปยังโนดะ เพื่อศึกษาการผลิตโชหยุจากตระกูลโมกิ ต่อมาทั้งสองคนเดินทางกลับไปยังยุโรป และนำสูตรไปผลิตsoy sauce เองในชื่อ แมกกี้ (Maggi) อย่างแพร่หลาย

ในเมืองไทยเอง หลังจากนำซอสแมกกี้มาขายจนโด่งดัง มีการผลิตซอสออกมาขายแข่งในหลากหลายยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็น ภูเขาทอง ฉลากทอง ฯลฯ หารู้ไม่ว่า ต้นกำเนิดของซอสต่าง ๆ นั้น ล้วนแต่มีที่มาจาก "น้ำปลา" ที่เราใช้กันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายายหลายร้อย หลายพันปีก่อน !!!